หัวหน้าประชาธิปัตย์ นำลูกพรรคบริจาคโลหิตที่สภากาชาด จี้ ศรส.ทบทวนหลังศาลแพ่งสั่งห้ามสลายม็อบ เชื่อเจ้าหน้าที่ไม่อยากลุย คาดคำสั่งที่สูงกว่าทำปะทะที่ผ่านฟ้าฯ แนะออมสินแจงโปร่งใสเรียกความเชื่อมั่นคืน เสนอ 3 ข้อ เลิกเลือกตั้ง 2 ก.พ.-เดินหน้าปฏิรูป-ยิ่งลักษณ์ต้องเสียสละ ระบุชาวนาอุทัยฯ เข้ากรุงทวงค่าจำนำข้าวไม่แปลก งงรัฐทำไมไม่เอามาขาย ขอ “ทักษิณ” เลิกทำชาติป่วน รับใช้เวลาหลายปีฟื้นฟูอุตสาหกรรมข้าวไทย
วันนี้ (20 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่สภากาชาดไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยอดีต ส.ส.ของพรรค ทยอยกันเดินทางไปบริจาคเลือด หลังทราบว่าคลังเลือดของสภากาชาดมีเลือดน้อยลงและอาจไม่พอต่อการให้บริการกับผู้ป่วย โดยภายหลังการบริจาคเลือด นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวเชิญชวนประชาชนให้ช่วยกันมาบริจาคเลือดเนื่องจากมีความต้องการใช้เลือดทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ระยะหลังการใช้เลือดจึงมีความจำเป็นมากขึ้น และมากกว่าจำนวนผู้บริจาค หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้คลังเลือดที่มีอยู่จะลดลงเรื่อยๆ เพราะขณะนี้มีเหตุที่ทั้งประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติภารกิจต้องการเลือด อยากให้คนไทยได้ช่วยเหลือกัน เช่นกรณีที่มีการโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียว่าตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บต้องการเลือดกรุ๊ปเอนั้น ส่วนตัวคิดว่าทุกคนมีเลือดอยู่แล้ว หากคนไทยช่วยกันโดยไม่มีการแบ่งแยก จะเป็นการรวมเลือดคนไทยกลับเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว ให้คนไทยได้สมัครสมานสามัคคีกัน ได้สังคมที่เกื้อกูลกันกลับมา
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึงคำสั่งศาลแพ่งที่ไม่ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ห้ามไม่ให้ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญว่า เป็นเรื่อง ศรส.ต้องทบทวนมาตรการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เพราะข้อห้ามของ ศรส.ที่ขัดต่อคำสั่งของศาลคงใช้ไม่ได้ และในกรณีที่เคยมีการออกหมายจับในความผิดละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฝ่าฝืนตามข้อกำหนด หมายจับนั้นก็ต้องยกเลิกไป แต่ถ้าผู้ชุมนุมทำผิดกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น เช่น ผิดกฎหมายเลือกตั้ง หรือบุกรุก ก็เป็นเรื่องที่ราชการยังดำเนินการได้อยู่
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า โดยความเห็นของตนคิดว่าในส่วนของหมายจับทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากอยู่ในขอบเขตที่ศาลกำหนดก็น่าจะถูกยกเลิกไปโดยปริยาย ส่วนจะต้องให้ผู้ที่ถูกออกหมายจับไปร้องต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนหมายจับหรือไม่นั้น ไม่แน่ใจว่าจะต้องมีการดำเนินการเช่นนั้นหรือไม่ แต่หลังจากนี้จะต้องดูแนวปฏิบัติของ ศรส.ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลแพ่งไม่ได้ก้าวล่วงในเรื่องการทำผิดกฎหมายฉบับอื่น ดังนั้น หากคิดว่ามีการทำผิดกฎหมายอาญาก็ดำเนินการตามปกติ แต่จะอ้างอิงอำนาจหรือความคุ้มครองตามประกาศใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ต้องดูว่าเข้าข่ายที่ศาลห้ามหรือไม่ ซึ่ง ศรส.ควรปรับท่าที เพราะเหตุการณ์ปะทะกันที่สะพานผ่านฟ้าฯ ไม่ควรเกิดขึ้น เนื่องจากการเจรจาขอคืนพื้นที่ ผู้ชุมนุมก็มีเหตุผล ทุกอย่างดูเรียบร้อย แต่มีคำสั่งมาจากระดับที่สูงกว่าจนทำให้เกิดปัญหาขึ้น
ส่วนที่มีข่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เปิดสายโทรศัพท์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณสั่งการนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นภาพที่สะเทือนใจประชาชน เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ก็ไม่อยากปฏิบัติในภาวะเช่นนี้ จึงขอให้ทุกคนคิดถึงบ้านเมือง อย่าให้ความวุ่นวายและความรุนแรงต้องเกิดขึ้นเพื่อสนองตอบความต้องการของคนเดียวที่ไม่ได้เดือดร้อนกับความทุกข์ของคนไทยและอยู่นอกประเทศด้วย หากทำอย่างนั้นก็ใช้ไม่ได้ และขอเตือนไปยัง ศรส.ที่มีการแถลงบิดเบือนข้อเท็จจริงกรณียืนยันว่าปฏิบัติการที่สะพานผ่านฟ้าฯ ไม่มีการใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุม เพราะขัดแย้งข้อเท็จจริง ไม่ช่วยให้เกิดผลดี และสร้างปัญหาตามมา เพราะความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญ หากคนไม่เชื่อถือรัฐและ ศรส.ก็จะเกิดผลกระทบทุกด้าน เนื่องจากความเชื่อมั่นเป็นหัวใจในการประคองสถานการณ์ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีประชาชนแห่ถอนเงินธนาคารออมสินว่า ต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมาด้วยการให้ความจริงอย่างโปร่งใส ขณะนี้หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อออกไปทุกคนห่วงว่าจะสูญเสียและรุนแรงมากขึ้น ตนจึงเรียกร้องให้ฝ่ายการเมือง คือ รัฐบาลต้องเริ่มขยับหาทางออกให้กับประเทศ ซึ่งเห็นว่าแนวทางที่สามารถดำเนินการได้ คือ 1. ต้องหาข้อยุติในการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ระหว่างรัฐบาลและ กกต. หากจำเป็นต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ 2. เรื่องการปฏิรูปจะเดินหน้าอย่างไร และ 3. นายกฯ กลายเป็นเงื่อนไขความขัดแย้ง จะเสียสละหรือแก้ปัญหาด้วยการหลีกไปให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าอย่างไร เพราะถ้านายกฯยังไม่ปลดล็อกตรงนี้ก็จะคาราคาซังอย่างนี้ เพราะถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาอะไรเลย ใช้วิธีผลักดันสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างเดียว แค่เฉพาะการเลือกตั้งก็ใช้เวลาเป็นเดือน และระหว่างทางจะเกิดเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายจะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในที่สุด
สำหรับความเคลื่อนไหวของชาวนา จ.อุทัยธานี ที่เคลื่อนเข้ามาใน กทม. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะชาวนารอเงินจำนวนมาก แต่รัฐบาลไม่ขายข้าวเพื่อนำเงินมาให้ชาวนา ในส่วนที่ขายไปได้เพียง 4 พันล้าน แต่หนี้ที่ติดชาวนาสูงถึง 1.3 แสนล้านบาท การที่นายกฯ และรัฐบาลสร้างขุดข้อมูลเท็จว่าปัญหานี้เป็นเรื่องการเมือง ไม่คิดว่าจะตบตาชาวนาได้ เพราะนับวันข้อมูลจะถึงชาวนากว้างขวางขึ้น เพราะโครงการนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากการหาเงินกู้ รัฐบาลมีข้าวในมือมากกว่าคนไทยทั้งประเทศกินทั้งปี แต่ไม่เอาออกมาขาย ต้องถามว่าหาเงินกู้ทำไม
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยให้สัมภาษณ์ว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดี และคิดเองคนเดียว เลิกไม่ได้ ควรจะรับผิดชอบอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้พิสูจน์แล้วว่าความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ไม่ได้ ที่เคยอวดอ้างว่าโครงการนี้จะทำกำไรก็ไม่เป็นความจริง จึงต้องรับผิดชอบ สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะทำได้ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยคือเลิกยุ่ง เลิกสร้างความวุ่นวายให้แก่บ้านเมือง
กรณีที่ประเทศอิรักระงับการสั่งซิ้อข้าวในประเทศไทย เพราะมีปัญหาเรื่องคุณภาพนั้่น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า น่าเป็นห่วง เคยเตือนแล้วว่ายิ่งเก็บข้าวในโกดังมากขึ้น แทนที่จะทำให้โปร่งใสว่ามีข้าวในสต็อกแค่ไหน คุณภาพเป็นอย่างไร หากไม่ตรงกับที่ระบุไว้ก็ต้องดำเนินการกับการทุจริตที่เกิดขึ้น ทั้งนี้รู้สึกเป็นห่วงว่านอกจากปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการจ่ายเงินให้ชาวนาแล้ว ยังต้องสะสางปัญหาโครงการจำนำข้าวทั้งหมดเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมข้าวไทยกลับมา โดยต้องเริ่มต้นจากการระบายข้าวในสต๊อกทั้งหมด ปรับกติกาการช่วยเหลือเกษตรกรไม่ให้กระทบต่อคุณภาพของข้าว ซึ่งยังต้องใช้เวลาในการเรียกความเชื่อมั่นจากตลาดที่ถูกแย่งไปอีกด้วย ซึ่งโอกาสที่ไทยจะกลับมาเป็นแชมป์ส่งออกข้าวได้อีกคือการต้องรีบสะสางปัญหาจำนำข้าวให้หมด โดยน่าจะใช้เวลาหลายปีที่จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมข้าวไทยได้เหมือนเดิม