xs
xsm
sm
md
lg

กปปส. ปรับแผน

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

วันจันทร์นี้เป็นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ อาจกล่าวได้ว่า มาตรการปิดกรุงเทพฯ ของ กปปส. จนถึงวันนี้ได้ดำเนินมาเกินหนึ่งเดือนแล้ว

ช่วงสัปดาห์แรกมีความคึกคักอย่างถึงที่สุด มวลชนเข้าร่วมอย่างล้นหลามในแทบทุกเวที ทุกจุดชุมนุมใหญ่อย่างล้นหลามทั้งที่สวนลุมพินี อโศก ราชประสงค์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ห้าแยกลาดพร้าว และแจ้งวัฒนะ

โดยในช่วงแรกๆนั้น มวลชนมีความเชื่อว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงและหัวใจหลักของประเทศ แต่ถ้ากรุงเทพฯ ปิดตัวลงเป็นการชั่วคราวเพื่อแสดงความไม่ยอมรับรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรม ก็จะเกิดสภาพ “รัฐล้มเหลว” (Fail State) ซึ่งเมื่อเกิดสภาพเช่นว่านั้น รัฐบาลก็คงจะอยู่ไม่ได้ จำเป็นต้องลาออกเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศสมดังเจตนาของมวลมหาประชาชน

ยอม “เสียสละ - อดทน” กันสักสามสี่วันหรือหนึ่งสัปดาห์ ก็ถือว่าเป็นการเจ็บน้อยวันนี้เพื่อโรคเรื้อรังของประเทศได้หายขาดอย่างยั่งยืนต่อไปในวันหน้า

ในช่วงนั้นหากยังจำกันได้ จะพบว่าถนนโล่ง ห้างร้านปิด ธุรกิจหยุดดำเนินการชั่วคราว โดยเฉพาะในเขตตัวเมือง ย่านการค้า ย่านธุรกิจ ที่ล้วนเป็นที่อยู่ที่ทำมาหากินของประชาชนที่เป็นแนวร่วมกับ กปปส. ทั้งสิ้น

แต่นั่นเป็นเพราะว่า มวลชนและแนวร่วมปิดกรุงเทพฯ ทั้งฝ่ายแกนนำ ผู้ชุมนุม และประชาชนที่เอาใจช่วยนั้น ประเมินรัฐบาล “สูงไป”

สูงไปตรงยังมองในแง่ดีว่า ถ้ากรุงเทพฯ และประเทศชะงักงันเช่นนั้น รัฐบาลน่าจะต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้ประเทศต้องเสียหายซึ่งใครก็ไม่คิดว่าจะได้เจอรัฐบาลที่ไม่รับผิดชอบ หรือไม่อินังขังขอบได้ถึงขนาดนี้

เพราะรัฐบาลอาจจะมองแค่ในแง่กลเกมการเอาชนะในทางการเมืองเท่านั้น จึงไม่สนใจความเสียหายของประเทศ หรือความไม่ไว้วางใจของประชาชนจนเกิดสภาพ Fail State

คงจะคิดแบบง่ายๆ ว่า Fail แล้วไง? ในเมื่อการปิดกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านธุรกิจ คนที่เดือดร้อนที่สุด ก็คือคนกรุงเทพฯ หรือคนในย่านนั้นเอง ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไร จะให้ทำอย่างไร ก็พวกลื้อหาเรื่องทุบหม้อข้าวตัวเองกันเอง

นี่ถ้ามหาตมะคานธี ใช้วิธีการต่อสู้แบบอสิงหา มาอดอาหารต่อสู้กับรัฐบาลนี้ ก็คงได้อดตายจริงๆ

รัฐบาลจึงลอยตัวบริหารประเทศแบบไม่บริหารอยู่ได้ โดยถือคาถา “มาจากการเลือกตั้ง - และจะยึดการเลือกตั้ง ... ตลอดมา และตลอดไป” กับป้ายยันต์ “รัฐบาลรักษาการ ต้องอยู่รักษาการต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ห้ามลาออก”รวมทั้งการดื้อแพ่งจัดให้มีการเลือกตั้งไปจนกระทั่งเกิดการนองเลือด บาดเจ็บล้มตาย แต่ก็ไม่คิดจะเลื่อนหรือยุติ เพียงเพราะการเลือกตั้งนั้นนำมาซึ่งความได้เปรียบทางการเมืองของฝ่ายตนเอง

เมื่อเจอการตั้งรับแบบ “ด้านรับ” แบบนี้ ความเชื่อและความตั้งใจของประชาชนก็อาจจะต้องชะงักงันไป

เพราะอย่างที่ว่า การยอมสละเลือด ยอมหยุดยอมพักกิจการ ยอมเสียความสะดวกสบายในการเดินทางบ้าง หากมันจะเป็นการขับไล่รัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมนำไปสู่การปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้นั้นก็คุ้มค่า ดังได้เปรียบไปแล้วว่าเหมือนการผ่าตัดใหญ่หรือบริจาคเลือด ถ้าทนเจ็บหน่อยต้องนอนพักรักษาตัวบ้างเพื่อให้โรคร้ายหายขาดก็อาจจะคุ้มค่า

แต่ถ้าบริจาคเลือดไปเป็นลิตรๆ ก็แล้ว หรือผ่าตัดไปหลายวันหลายรอบก็ตัดมะเร็งไม่ออก เพราะมะเร็งก้อนใหญ่ดื้อมีดหมอ แต่เลือดไหลออกเรื่อยๆ ทุกวัน เช่นนี้ก็ไม่ไหวเช่นที่คนต้องกลับมาเริ่มทำงาน ธุรกิจการค้าต้องประกอบการไม่ใช่เป็นเพราะว่าไม่เอาด้วยกับ กปปส. แล้ว หรือยอมแพ้ฝ่ายรัฐบาลก็หาไม่ เพราะยังเห็นได้ว่า หากคุณสุเทพนำขบวนเดินไปที่ไหน ผู้คนก็ยังต้อนนรับอย่างล้นหลาม ยังบริจาคเงินครั้งละเป็นล้านๆ ผู้คนในเมืองก็แต่งตัวประดับธงชาติแสดงความเป็นแนวร่วมของ กปปส. อยู่อย่างคึกคัก

แต่ที่ต้องกลับไปทำงาน ไปประกอบกิจการนั้น เป็นไปอย่างน้อยก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด รอดูวันที่ปฏิรูปการเมืองปฏิรูปประเทศไทยได้สำเร็จ

การปิดกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่ และเป็นเวลายาวนาน ซึ่งเกินกว่าหนึ่งเดือนก็อาจจะเริ่มแย่ เพราะธุรกิจ หรือการงานของผู้คน โดยเฉพาะผู้เข้าชุมนุมในย่านที่ชุมนุมเอง ก็อาจจะเสียหายได้ หรือถึงฟื้นได้ ก็ต้องเยียวยากันนานเกินไป เหมือนร่างกายที่อาจจะขับมะเร็งได้ แต่ก็ต้องอ่อนแอลงไปจนฟื้นฟูกันหลายปี ซึ่งอาจจะไม่คุ้มค่า

เช่นที่มีข่าวว่า โรงแรมใหญ่หลายแห่งในเขตชุมนุมเริ่มมีปัญหาขาดทุนสะสม ต้องลดคนลดเงินเดือน หรือห้างสรรพสินค้า ร้านค้า แถวนั้นเริ่มประสบปัญหากันบ้าง เพราะถึงแม้จะได้ลูกค้าเป็นกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ก็เสียลูกค้าต่างชาติไปมาก

เพราะต้องไม่ลืมว่า สื่อต่างประเทศ ที่ไม่รู้รับเงินใคร หรือได้รับการล็อบบี้มาจากฝ่ายไหน หลายสื่อพยายามสร้างข่าวสร้างภาพว่าประเทศไทยกำลังวุ่นวาย เป็นอนาธิปไตย ผู้มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนั้นเป็นพวกไม่เอาประชาธิปไตย โรงแรม ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ไม่สามารถเข้าใช้บริการได้ ซึ่งเราคนอยู่เมืองไทยคงรู้อยู่เห็นอยู่ว่าไม่จริง เพราะใครไปห้างแถวนั้น ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัลเวิลด์ หรือสยามพารากอน ก็ยังเดินทางไปได้ตามปกติทั้งทางรถไฟฟ้าหรือรถส่วนตัว ที่มีทางเลี่ยงที่มวลชนเปิดไว้อยู่ ไม่ใช่ว่าห้างร้านศูนย์การค้าปิดทำการไปเสียอย่างที่พยายามสร้างภาพแต่นักท่องเที่ยวที่เสพสื่อเหล่านั้น หรือพวกเน้นเที่ยวแบบปลอดภัยไว้ก่อน ก็หลีกเลี่ยงการมาเที่ยวเมืองไทย

สื่อต่างชาติพวกนี้ไม่ต้องรับผิดรับผลอะไร หากเศรษฐกิจไทยจะย่อยยับ หรือกระทั่งผู้คนในเครือข่ายระบอบทักษิณเอง ต่อให้ประเทศไทย เศรษฐกิจไทยเสียหายอย่างไร อย่างหนักก็หอบเงินไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศอย่างผู้อยู่เหนือกฎหมายก็ได้

แต่เราเป็นคนไทย ผู้ประกอบการชาวไทยนี่เอง ที่จะต้องอยู่เพื่อฟื้นฟูประเทศไทยต่อไป

ที่ผ่านมา ทาง กปปส. เองก็ได้ปรับตัวและรับฟังความเดือดร้อนของประชาชน เช่นได้ยอมสละพื้นที่ชุมนุมตรงปากทางลาดพร้าวและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยอมคืนพื้นที่สะพานพระราม 8 เปิดศูนย์ราชการและถนนแจ้งวัฒนะบางส่วนแล้ว

เพราะก็คงตระหนักว่าสงครามครั้งนี้อาจจะยาวกว่าที่คิด

ล่าสุดเมื่อเช้าตรู่ของวันนี้ (17 ก.พ.) คุณสุเทพได้นำมวลชนจำนวนหนึ่งเข้าปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลแล้ว เพื่อไม่ให้รัฐบาลเข้าทำงานได้ตามแผน

ซึ่งน่าจะเป็นการตอกหมุดตรงหัวใจของระบอบทักษิณมากที่สุดแล้ว และก็คาดเดาหรือคาดหวังได้ว่า อาจจะมีการลดพื้นที่ชุมนุม หรือเปิดพื้นที่เพื่อระดมคนมา“อัด” ใส่ระบอบทักษิณ โฟกัสให้ตรงจุดศูนย์รวมอำนาจมากยิ่งขึ้นโดยผู้คนที่เป็นแนวร่วมนั้นเดือดร้อนน้อยลง

เพราะหากการกำจัดมะเร็ง ทำให้เลือดไหลออกมาจนเกินไป หากไม่รีบรักษา คนไข้อาจจะตายหรือพักฟื้นยาวนานเกินไปได้ เช่นนี้หมอก็ควรจำเป็นต้องเปลี่ยนใช้วิธีการใหม่ๆ อย่างน้อยก็หยุดเลือดก่อน แล้วค่อยจัดการก้อนมะเร็งร้ายนั้นอย่างตรงจุด ตัดทีเดียวให้ขาด ไม่กระทบส่วนอื่น.
กำลังโหลดความคิดเห็น