ผบ.ทบ.ลงปัตตานีดูไฟใต้ แจงแบ่งดูแลพื้นที่ 3 แบบ ยันไม่รุนแรงตาม แนะรัฐพัฒนาทุกรูปแบบทำโครงการใหญ่สร้างรายได้ มุ่งสันติภาพ ชี้ระยาวใช้กำลังท้องถิ่น ไม่ตอบใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โยนอยู่ที่ฝ่ายบริหาร รับทหารงานหนัก ผู้ปฏิบัติใช้ กม.ระวัง ห่วงรุนแรงลดหรือไม่ หวั่นแตกแยก ประณามมือป่วนไม่น่าเกิดแผ่นดินนี้ รับพอรู้ตัวขู่อย่าทำอีก แนะรีบลดขัดแย้ง เผยส่งแผนให้ ศอ.รส.ตลอด วอนอย่ามองทหารข้างไหน เชื่อน่าจะคุยกันได้ ลั่น ตปท.อย่าจุ้น
วันนี้ (22 ม.ค.) ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมคณะได้เดินทางลงพื้นที่ค่ายสิรินธร จังหวัดปัตตานี เพื่อร่วมประชุมติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวก่อนเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ว่า ทุกอย่างกำลังดำเนินการตามนโยบาย โดยมีการปรับแผนการดำเนินการของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ทั้งเรื่องการปรับกำลัง การจัดตั้งหน่วยขึ้นมาใหม่ การดูแลพื้นที่ที่แบ่งออกเป็น 3 พื้นที่ คือ พื้นที่ความมั่นคง พื้นที่การพัฒนาเร่งด่วน พื้นที่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยทั้ง 3 พื้นที่ที่มีการปรับกำลังจะสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกส่วนราชการ เพราะการดูแลระยะยาวต้องใช้กำลังประจำถิ่น เราใช้กำลังทหารจากกองทัพภาคต่างๆลงไปในพื้นที่มาหลายปีแล้ว คิดว่าระยะต่อไปถ้าสถานการณ์ลดลง หรือการดำนินการตามยุทธศาสตร์มีความก้าวหน้าอาจจะมีโอกาสนำกำลังบางส่วนมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า เราได้มีการติดตามและประเมินผลทั้ง 3 ช่องทาง คือฝ่ายความมั่นคง พลเรือน ภาคประชาชน และทุกส่วนมีผลการประเมินที่สูงขึ้นตามลำดับ ส่วนความรุนแรงยังมีอยู่บ้าง เราต้องเพิ่มความระมัดระวังปรับรูปแบบและยุทธวิธี และที่สำคัญเราไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ทำได้เพียงการบังคับใช้กฎหมายและเร่งรัดการพัฒนา
“นอกจากนี้ มีการเสนอแผนไปยังรัฐบาลในระยะยาว คือ ต้องมีการพัฒนาครบทุกรูปแบบ นำโครงการใหญ่ๆ ลงไปในพื้นที่ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชน ส่วนการสร้างสภาวะแวดล้อมให้ปลอดภัยเพื่อมุ่งไปสู่การพูดคุยสันติภาพนั้นก็ยังดำเนินการอยู่ แม้ช่วงนี้จะเว้นว่างไปก็ตาม นอกจากนี้ยังได้รับนโยบายและเสนอแนวทางการสร้างความปลอดภัยตามแนวชายแดน เช่น การสร้างรั้วตามแนวชายแดนที่ผู้ก่อความไม่สงบใช้เป็นเส้นทางหลบหนี การเข้มงวดการขนย้ายอุปกรณ์วัตถุระเบิด ซึ่งการทำงานต้องอาศัยความร่วมมือทั้ง ทหาร ตำรวจ พลเรือน และประชาชน ซึ่งเกิน 90% ที่มีส่วนร่วมกับเจ้าหน้าที่ ส่วนด้านการศึกษา ได้ขอให้กระทรวงศึกษาธิการลงมาดูแลหาวิธีการให้เยาวชนได้เข้าศึกษาในโรงเรียนของรัฐให้มากขึ้น ส่งเสริมการเรียนการสอนตั้งแต่ โรงเรียนตาดีกา โรงเรียนปอเนาะ ให้มีการเรียน 2 หลักสูตร ทั้งศาสนาและวิชาสามัญ รวมถึงโครงการต่างๆ ของกระทรวง ทบวง กรม ที่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ขณะนี้ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานของ กอ.รมน. เพื่อขับเคลื่อน เพื่อรับทราบปัญหาและนำไปสู่การปฎิบัติเพื่อไปสู่ผลสัมฤทธิ์” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลว่า ตนคงไม่กล่าวว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็น เพราะขณะนี้ได้มีการประกาศใช้กฎหมายไปแล้ว ซึ่งเป็นข้อสรุปในที่ประชุม และอำนาจในการประกาศเป็นของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่กฎหมายของ กอ.รมน. เมื่อมีการวิเคราะห์สถานกาณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในที่ประชุม ศอ.รส.มีมตินำเข้าที่ประชุม ครม. และครม.ก็อนุมัติออกมา แต่หน้าที่รับผิดชอบยังเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบในส่วนการใช้กำลัง ส่วนทหาร ตลอดระยะเวลาที่เกิดความรุนแรง เรามีทหารออกมาทำงาน เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ใช่ไปดูแลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือใครเป็นพิเศษ แต่ไปในฐานะที่ต้องดูแลทรัพย์สินส่วนกลาง สถานที่ราชการ และสถานที่สำคัญต่างๆ รวมถึงการดูแลประชาชนให้ปลอดภัย ภารกิจทหารค่อนข้างหนักเพราะต้องดูแลทั้ง 3 ส่วนในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งมากในปัจจุบัน ทั้งนี้เราเคยเสนอข้อพิจารณาและข้อห่วงใยไปแล้ว คิดว่า ผู้ปฏิบัติคงต้องระมัดระวังในการบังคับใช้กฎหมาย สิ่งที่เป็นห่วง คือ เมื่อประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วสถานการณ์จะลดความรุนแรงหรือไม่ สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่ เจ้าหน้าที่ปลอดภัยหรือไม่ ผลจะเป็นอย่างไรต้องติดตามดู ต้องดูว่าจะดีขึ้นหรือเลวลง
“วัตถุประสงค์หลักของเจ้าหน้าที่ คือ จะทำอย่างไรให้ประชาชนทุกส่วนเกิดความปลอดภัย เพราะเราต้องดูทุกส่วน เราไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร วันนี้ที่น่าเป็นห่วง คือ ความแตกแยก หรือความแปลกแยกของคนในสังคมและคนในครอบครัวที่มีมากขึ้น ในฐานะที่เป็นทหารของชาติและประชาชนมีความเป็นห่วงว่า เราจะอยู่อย่างไรต่อไป ถ้าทุกคนแบ่งแยกกันหมด และไม่ลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นต้องมีคนออกมาเตือนให้ทุกส่วนลดระดับความรุนแรง และความเกลียดชัง ผมเป็นห่วงว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะจบอย่างไรก็ตามแล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ถ้าคนในสังคมยังขัดแย้งกัน ถึงจะบังคับใช้กฎหมายอย่างไรก็อันตรายทั้งสิ้น อยากฝากสื่อช่วยกันโน้มน้าวให้ความขัดแย้ง และสิ่งที่เป็นเงื่อนไขลดลงให้ได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าความขัดแย้งและปัญหาจะได้รับการแก้ไขอย่างไร ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะออกมาวิจารณ์กับสื่อในทางสาธารณะ เราต้องรักษาบทบาทของเจ้าหน้าที่ให้ดีที่สุดและทำให้เกิดความปลอดภัย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้จัดทหาร 40 กองร้อย จัดตั้งจุดตรวจร่วม 30 กว่าจุด ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ จัดจุดตรวจของทหารอีกกว่า 20 จุดมีการปรับแผนการทำงานทุกวัน โดยมีกองทัพภาคที่ 1 เป็นคนรับผิดชอบในภาพการใช้กำลัง ตามแนวทางของ ศอ.รส. ทุกวันได้เสนอแผนจากกองทัพไปยัง ศอ.รส.ตลอด ที่ผ่านมาความขัดแย้งระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมีมาก ทหารจึงจำเป็นต้องไปเสริมในหลายจุด เราต้องลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้น ทหารยังต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแล และเป็นผู้รับผิดชอบในภาพรวม ทหารเป็นผู้สนับสนุน ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงานในการออกไปดูแลประชาชนทุกฝ่ายให้เกิดความปลอดภัย ไม่ใช่ว่า เรานิ่งนอนใจ ทหารทำทุกอย่าง แต่วันนี้เราต้องยึดถือกฎเกณฑ์ ไม่สามารถทำอะไรนอกเหนือกฎเกณฑ์ได้ เพราะกำลังพลถืออาวุธ ดังนั้นการทำอะไรต่างๆ ต้องระมัดระวัง รวมถึงการวางตัวของทหารทุกคน ซึ่งตนได้กำชับกำลังพลที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่เสมอ ทหารมีบทเรียนมากมาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
“อย่าไปมองว่าทหารกลัวนั่นกลัวนี่ หรืออยู่ข้างนั้นข้างนี้ เพราะเป็นเรื่องการกำหนดบทบาทตัวเองให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไปปฏิบัติหน้าที่ก็ทำงานแบบไม่สบายใจ ถ้าทุกคนเห็นต่างกันแล้วออกไปทำงาน คิดว่า อันตราย เพราะต้องไปสัมผัสกับประชาชนและอยู่ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง ต้องให้ความเป็นธรรมกับทหารว่า เราไปเพราะความห่วงใย ไม่ใช่ไปเพราะคำสั่ง หรือกฎหมาย กำลังพลทุกคนพกพาจิตใจที่งดงามออกไป ผมได้ให้นโยบายไปแล้วว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชน เจ้าหน้าที่ และสถานที่ปลอดภัย และอย่าไปสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น แน่นอนว่า ในการชุมนุมต้องมีการทำผิดกฎหมาย เมื่อไรก็ตามที่มีข้อขัดแย้งและเหตุการณ์เกิดขึ้น ขอความร่วมมือให้ตำรวจได้เข้าไปทำงานตรวจสอบหลักฐานเพื่อให้ได้ความชัดเจน มิเช่นนั้นจะถูกสงสัย พาดพิง หรือนำไปสู่การกล่าวให้ร้ายกันในโซเชี่ยลมีเดีย ทุกวันนี้มีข่าวเกิดขึ้นมากมายในโซเชี่ยลมีเดีย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจริง ฟังดูแล้วน่าหวาดกลัว หากมีอะไรต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หากกล่าวอ้างกันไปมา ภาพความรุนแรงจะไปสู่สากล” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราจะทำอย่างไรที่จะลดความรุนแรงให้ได้โดยเร็ว และมีข้อตกลงที่ยอมรับกันได้ โดยมีการบังคับใช้กฎหมายให้น้อยที่สุด ความเห็นต่างมีได้ แต่ใครจะเป็นผู้นำพาสิ่งเหล่านี้ให้ลดระดับลง และทำให้ทุกคนยอมรับได้ และจะแก้ไขอย่างไรด้วยวิธีการปกติ แต่ตราบใดที่เงื่อนไขความขัดแย้งไม่ได้ลดลง ความจริงไม่ได้พิสูจน์ชัดก็ต้องใช้เวลาและกระบวนการในการพิสูจน์ทราบ สถานการณ์จะลดระดับลง ถ้าเราไม่ขยายความขัดแย้งให้มากขึ้น ไม่มีการใช้ความรุนแรงปะทะกัน ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ตนไม่ไปก้าวล่วงอำนาจของใคร หรือให้ร้ายใคร แต่สิ่งที่เป็นความขัดแย้งในปัจจุบันน่าจะมีทางออก ไม่ใช่ว่าจะต้องฆ่าฟันกัน ทำร้ายกัน อย่าลืมว่า ทุกคนคือคนไทยด้วยกัน ถ้าเป็นคนไทยแล้วฆ่ากันเองจะเรียกว่า คนไทยและประเทศไทยได้อย่างไร ในวันข้างหน้าประเทศคงต้องสูญสลายไปหรือแบ่งแยกประเทศกันไป แต่คิดว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น เราน่าจะพูดทุกคุยกันได้ ไม่ว่าเป็นคนภาคไหน เพราะทั้งหมดคือคนไทย
“เราต้องหยุดความขัดแย้งให้ได้เพื่อนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้า เราจะเห็นต่างอย่างไรก็ตามต้องหาทางออกกันให้เจอ ถ้ายังต้องไล่ล่าฆ่าฟัน บังคับใช้กฎหมายต่อกันคงไม่ได้ ต้องนำความขัดแย้งมาพูดคุยกัน ตนสนับสนุนเรื่องการพูดคุย ไม่มีใครได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด ไม่มีใครชนะหรือแพ้ทั้งหมดจึงต้องหาทางกันให้เจอ ซึ่งตนไม่รู้ว่า อยู่ตรงไหน เพราะตนไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นความขัดแย้งและสร้างปัญหา แต่ทหารจะทำหน้าที่ของทหารให้ดีที่สุด เมื่อไรก็ตามที่ความขัดแย้งรุนแรงถึงขนาดที่แก้ไขอะไรไม่ได้ ทหารจำเป็นจะต้องแก้ไข เราจะดูแลประเทศชาติให้ดีที่สุดตามวิธีการที่ถูกต้อง คิดว่า พวกเราทกุคนคงไม่ก้าวไปสู่ความรุนแรงที่แก้ไขไม่ได้ เพราะจะทำให้สถานการณ์เลวลงไปเรื่อยๆ ขอเตือนทุกภาคส่วนว่า อย่าให้เกิดขึ้น ทุกคนและสื่อต้องช่วยกันลดความรุนแรงลง ฝ่ายไหนยังทำให้เกิดภาพความรุนแรง เช่น กลุ่มคนที่ใช้อาวุธและความรุนแรง ใช้ระเบิด คนเหล่านี้ไม่น่าจะใช่คนที่เกิดมาบนแผ่นดินนี้ ผมไม่รู้ว่า คนเหล่านี้หัวใจทำด้วยอะไร มันฆ่าคนไทยด้วยกัน สร้างความรุนแรงเพื่อหวังผลอะไรสักอย่าง แต่คงไม่เกิดอย่างที่เขาต้องการ ยิ่งทำให้การแก้ไขปัญหายากขึ้นไปทุกวัน ทุกคนและสังคมต้องช่วยกันนำคนเหล่านี้มาลงโทษให้ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีกลุ่มเล็กๆที่ชอบออกมาเคลื่อนไหว ชอบกดดันเจ้าหน้าที่ ซึ่งกลุ่ม กปปส.ที่ออกมาเขาก็ผิด แต่เขาทำในความเชื่อที่มีเหตุผลของเขา แต่อีกกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงนอกกฎหมาย ตนขอประณามคนเหล่านี้ และตนพอรู้อยู่บ้างว่าเป็นคนกลุ่มไหน ขอเตือนอีกครั้งว่าอย่าทำอีก เรากำลังติดตามหาหลักฐาน หาข้อมูลเพื่อให้ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งจะมีหลายกลุ่มด้วยกันที่พูดจารุนแรงตามสถานีวิทยุต่างๆ ที่ออกมาข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐ เอาพวกออกมาหวังต้องการให้กระทบกระทั่งกับประชาชนถือว่า เป็นกระทำนอกกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐที่ต้องดำเนินการ จะเห็นว่าทหารพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ใช้ความรุนแรง พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ปัญหาภาคใต้เราก็มี เราจะเสี่ยงทุกจังหวัดเลยหรือ ประเทศไทยจะรบกันทั้งประเทศเลยหรือ เมื่อถึงเวลานั้นใครจะแก้ปัญหาก็ไปคิดเอา ถ้าประชาชนไม่ใช่คนแก้ก็ไม่รู้ว่า ใครจะแก้ เราต้องหาทางออกกันให้ได้ท่ามกลางความขัดแย้ง อย่าให้ใครเข้ามาจัดระเบียบในประเทศเรา ถ้าคนอื่นมาจัดการประเทศมีแต่จะเสียหาย เพราะไม่ใช่บ้านเมืองของเขา อย่าไปคิดว่า จะต้องหาคนมายุติเหตุการณ์ในประเทศเราโดยคนอื่น ปัญหาเกิดขึ้นจากคนไทยก็ต้องแก้ด้วยคนไทยให้ได้