สำรวจสุขภาพจิตคนไทยต่อการชุมนุมพบ สังคมไทยเริ่มคุ้มชินกับการใช้คำพูดรุนแรง ชี้มีแนวโน้มนำไปสู่พฤติกรรมความรุนแรงที่มากขึ้นได้ และอาจส่งผลกระทบต่อเด็ก เยาวชน เลียนแบบ ปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่นิยมความรุนแรง
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจภาวะสุขภาพจิตของประชาชนต่อสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 17-19 ม.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 308 ราย ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ทั้งผู้ที่เคยเข้าร่วมชุมนุมและไม่เคยเข้าร่วมชุมนุม พบว่า ร้อยละ 78.60 มีความเครียดน้อย ร้อยละ 7.40 มีความเครียดอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด โดยผู้ที่เคยเข้าร่วมชุมนุมมีความเครียดมากกว่าผู้ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุม และสาเหตุของความเครียด อันดับ 1 มาจากการเดินทาง รองลงมาคือ การรับข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ และการได้รับฟังคำพูดที่รุนแรง
นพ.เจษฎากล่าวอีกว่า จากการสอบถามถึงสื่อและระยะเวลาในการรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง พบว่า ประชาชนร้อยละ 93.80 รับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตมากที่สุด รองลงมาคือ สื่อวิทยุ คิดเป็นร้อยละ 71.80 โดยส่วนใหญ่เปิดรับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองวันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 42.50 รองลงมาเปิดรับ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 39.00 ตามลำดับ
นพ.เจษฎากล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ ความรู้สึกของประชาชนต่อการใช้คำพูดรุนแรงและมีเจตนาให้เกิดความเกลียดชัง พบว่า ร้อยละ 53.20 รู้สึกไม่ชอบ ฟังแล้วเครียด รองลงมาร้อยละ 25.30 มีความรู้สึกเฉยๆ และรู้สึกว่าสะใจดี ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงความคิดเห็นที่มีต่อการใช้คำพูดรุนแรง พบว่า ร้อยละ 76.60 เห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ รองลงมาร้อยละ 59.10 เป็นการใช้คำพูดหยาบคาย แม้จะเกลียดกันแต่ก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น ร้อยละ 57.50 เห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาของการแสดงออกถึงความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม ร้อยละ 51.30 เห็นว่าเป็นการนำไปสู่ความรุนแรงหรือกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงได้ และร้อยละ 51.00 เห็นว่าเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของบุคคลในระบอบประชาธิปไตยตลอดจนเป็นการกระตุ้นอารมณ์โกรธและปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงสำหรับสังคมไทยที่ประชาชนเกินครึ่งเห็นว่าการใช้คำพูดที่รุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสัญญาณที่เริ่มบ่งบอกว่าสังคมไทยเริ่มคุ้นชินกับการใช้คำพูดที่รุนแรง ซึ่งมีแนวโน้มไปสู่พฤติกรรมที่รุนแรงมากขึ้นได้
“การใช้คำพูดที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อบุคคล 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. คนพูด 2. คนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนพูด และ 3. คนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง อาทิ เด็กและเยาวชน ซึ่งจะเกิดการเรียนรู้และเลียนแบบจากความคุ้นชินในการใช้คำพูดที่รุนแรง ซึ่งอาจขยายความเกลียดชังเป็นวงกว้าง และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะคุ้นชินต่อการใช้คำพูดรุนแรงโดยไม่รู้ตัว เสี่ยงต่อการมีปัญหาทางอารมณ์และการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นในอนาคต ส่งผลให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่เสี่ยงจะใช้พฤติกรรมรุนแรง” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
นพ.เจษฎากล่าวต่อไปว่า คนที่รับฟังมากเกินไปก็จะส่งผลให้เครียดและกังวลสูง ขณะที่ในระดับสังคม การใช้คำพูดที่รุนแรงจะสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรู้สึกรุนแรง เกลียดชังฝ่ายที่คิดต่าง ส่งผลให้ความเอื้ออาทรต่อกันในสังคมอ่อนแอลง เกิดความเปราะบางในสังคม คนในสังคมมีความเครียดกังวล สังคมขาดความสุข ดังนั้น จึงควรมีสติรับฟังข้อมูลอย่างไตร่ตรอง นึกถึงผลกระทบของการใช้คำพูดรุนแรง เพราะการให้ข้อมูลความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดที่รุนแรงสร้างความเกลียดชัง ซึ่งเมื่อใช้จะยิ่งไปกระตุ้นและยั่วยุให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นไปอีก
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจภาวะสุขภาพจิตของประชาชนต่อสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 17-19 ม.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 308 ราย ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ทั้งผู้ที่เคยเข้าร่วมชุมนุมและไม่เคยเข้าร่วมชุมนุม พบว่า ร้อยละ 78.60 มีความเครียดน้อย ร้อยละ 7.40 มีความเครียดอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด โดยผู้ที่เคยเข้าร่วมชุมนุมมีความเครียดมากกว่าผู้ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุม และสาเหตุของความเครียด อันดับ 1 มาจากการเดินทาง รองลงมาคือ การรับข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ และการได้รับฟังคำพูดที่รุนแรง
นพ.เจษฎากล่าวอีกว่า จากการสอบถามถึงสื่อและระยะเวลาในการรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง พบว่า ประชาชนร้อยละ 93.80 รับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตมากที่สุด รองลงมาคือ สื่อวิทยุ คิดเป็นร้อยละ 71.80 โดยส่วนใหญ่เปิดรับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองวันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 42.50 รองลงมาเปิดรับ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 39.00 ตามลำดับ
นพ.เจษฎากล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ ความรู้สึกของประชาชนต่อการใช้คำพูดรุนแรงและมีเจตนาให้เกิดความเกลียดชัง พบว่า ร้อยละ 53.20 รู้สึกไม่ชอบ ฟังแล้วเครียด รองลงมาร้อยละ 25.30 มีความรู้สึกเฉยๆ และรู้สึกว่าสะใจดี ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงความคิดเห็นที่มีต่อการใช้คำพูดรุนแรง พบว่า ร้อยละ 76.60 เห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ รองลงมาร้อยละ 59.10 เป็นการใช้คำพูดหยาบคาย แม้จะเกลียดกันแต่ก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น ร้อยละ 57.50 เห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาของการแสดงออกถึงความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม ร้อยละ 51.30 เห็นว่าเป็นการนำไปสู่ความรุนแรงหรือกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงได้ และร้อยละ 51.00 เห็นว่าเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของบุคคลในระบอบประชาธิปไตยตลอดจนเป็นการกระตุ้นอารมณ์โกรธและปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงสำหรับสังคมไทยที่ประชาชนเกินครึ่งเห็นว่าการใช้คำพูดที่รุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสัญญาณที่เริ่มบ่งบอกว่าสังคมไทยเริ่มคุ้นชินกับการใช้คำพูดที่รุนแรง ซึ่งมีแนวโน้มไปสู่พฤติกรรมที่รุนแรงมากขึ้นได้
“การใช้คำพูดที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อบุคคล 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. คนพูด 2. คนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนพูด และ 3. คนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง อาทิ เด็กและเยาวชน ซึ่งจะเกิดการเรียนรู้และเลียนแบบจากความคุ้นชินในการใช้คำพูดที่รุนแรง ซึ่งอาจขยายความเกลียดชังเป็นวงกว้าง และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะคุ้นชินต่อการใช้คำพูดรุนแรงโดยไม่รู้ตัว เสี่ยงต่อการมีปัญหาทางอารมณ์และการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นในอนาคต ส่งผลให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่เสี่ยงจะใช้พฤติกรรมรุนแรง” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
นพ.เจษฎากล่าวต่อไปว่า คนที่รับฟังมากเกินไปก็จะส่งผลให้เครียดและกังวลสูง ขณะที่ในระดับสังคม การใช้คำพูดที่รุนแรงจะสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรู้สึกรุนแรง เกลียดชังฝ่ายที่คิดต่าง ส่งผลให้ความเอื้ออาทรต่อกันในสังคมอ่อนแอลง เกิดความเปราะบางในสังคม คนในสังคมมีความเครียดกังวล สังคมขาดความสุข ดังนั้น จึงควรมีสติรับฟังข้อมูลอย่างไตร่ตรอง นึกถึงผลกระทบของการใช้คำพูดรุนแรง เพราะการให้ข้อมูลความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดที่รุนแรงสร้างความเกลียดชัง ซึ่งเมื่อใช้จะยิ่งไปกระตุ้นและยั่วยุให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นไปอีก