“คณิต” ทำหนังสือในฐานะอดีตประธาน คอป.ถึงอัยการสูงสุด ขอให้สั่งไม่ฟ้องคดีก่อการร้ายทุกคดีทั้งฝ่ายพันธมิตรฯ และแก๊งเสื้อแดง เพื่อความสงบของบ้านเมือง ระบุเคยทำหนังสือถึงองค์กรอัยการแล้ว แต่ไม่ได้รับความร่วมมือในการสร้างความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน ขณะเดียวกัน อดีตอัยการสูงสุด 2 คนยังกระทำผิด ม.157 ติงกระบวนการยุติธรรมของประเทศไม่แก้ปัญหาความบิดเบือนและหักดิบกฎหมาย ยังทำตนเป็นเครื่องมือทางการเมือง
วันนี้ (23 ธ.ค.) นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทำหนังสือถึงนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด (อสส.) ขอให้สั่งไม่ฟ้องหรือถอนฟ้องคดีการก่อการร้ายทั้งหมดทุกคดี ทั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแนวร่วมประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ตกเป็นจำเลย ซึ่งการฟ้องคดีดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ
นายคณิตกล่าวว่า เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นประธาน คอป.เกิดมีการดำเนินคดีในเรื่องการก่อการร้าย ซึ่งตนได้เขียนบทความเรื่อง “การก่อการร้าย” โดยเห็นว่า เป็นการดำเนินการที่ไม่น่าเป็นผลดี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอัยการ แต่เนื่องจากองค์กรอัยการในขณะนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการสร้างความถูกต้องและความปรองดองของคนในชาติ ในการเสนอแนะต่อรัฐบาลในเรื่องการก่อการร้ายนี้ คอป.จึงได้กล่าวถึงทางออกเพื่อสร้างความถูกต้องเกี่ยวกับองค์กรอัยการว่า เมื่อการดำเนินคดีในความผิดฐานก่อการร้ายทำให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศขาดความเชื่อถือศรัทธา ทางแก้โดยองค์กรในกระบวนการยุติธรรมตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่อาจทำได้ เช่น การสั่งไม่ฟ้องหรือการถอนฟ้องโดยพนักงานอัยการน่าจะเกิดขึ้นยาก เพราะองค์กรอัยการดูจะไม่ค่อยร่วมมือในการสร้างความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional justice)
“เมื่อองค์กรอัยการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจที่มีอยู่ในการแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติ คอป.จึงได้เสนอให้ฝ่ายการเมืองได้ยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการก่อการร้ายแทน แต่ก็ไม่พบว่าฝ่ายการเมืองได้มีการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ คอป. เพื่อแก้ปัญหาของชาติแต่อย่างใด”
นายคณิตกล่าวว่า บัดนี้ปรากฏว่าอดีตอัยการสูงสุดสองคนก่อนหน้านายอรรถพลได้ดำเนินการโดยไม่ถูกต้องตามหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ดำเนินการอันอาจเป็นความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ และที่สำคัญอาจทำให้คดีของรัฐเกิดความเสียหายได้ตามที่ตนได้กล่าวไว้ในบทความที่ปรากฏในหนังสือ “อดีตประธาน คอป. แนะ อสส. ในคดีก่อการร้าย” จึงเสนอแนะเรียกร้องให้อัยการสูงสุดได้ทำหน้าที่โดยสั่งไม่ฟ้องหรือถอนฟ้องคดีก่อการร้ายทุกคดี ซึ่งการฟ้องคดีดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้ เพื่อความสงบให้แก่บ้านเมือง
นอกจากส่งหนังสือถึงอัยการสูงสุดแล้วยังส่งหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี มีใจความว่า ตามที่ตนได้รับการแต่งตั้งจากอดีตนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้เป็นประธาน คอป. และในเวลาต่อมารักษาการนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ให้ความสำคัญแก่ คอป. และได้ให้ คอป.ได้ดำเนินงานต่อไป จนการทำงานของ คอป.เสร็จสิ้นเมื่อเดือนกันยายน 2555 และ คอป.ได้เสนอแนะเพื่อให้เกิดความสงบและความปรองดองของคนในชาติไว้หลายประการ นั้น
“แม้จะปรากฏว่าหลังจาก คอป.เสร็จสิ้นการทำงานแล้ว คอป.ไม่พบว่ารัฐบาลได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ คอป.อย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลยังได้สร้างความขัดแย้งของคนในชาติขึ้นอีก โดยการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมและอื่นๆ แต่ผมในฐานะอดีตประธาน คอป. และ คอป.ทุกคน โดยสำนึกในความรับผิดชอบในเงินภาษีอากรของประชาชนในการที่รัฐได้จัดสรรงบประมาณของแผ่นดินเพื่อการทำงานของ คอป. ในอันที่จะช่วยสร้างความสงบและความปรองดองของคนในชาติ ได้เห็นพ้องต้องกันว่าสมควรทำหน้าที่ผลักดันข้อเสนอแนะของ คอป. เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติและสังคมต่อไป”
นายคณิตกล่าวว่า ในฐานะเป็นอดีตประธาน คอป. ได้พิมพ์หนังสือ “ประชาธิปไตยและการตั้งรังเกียจทางสังคม” อันเป็นผลงานของ คอป. เช่นเดียวกัน ออกเผยแพร่ไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ส่งให้สมาชิกรัฐสภาทุกคนแล้วด้วย ทั้งนี้ คอป.เชื่อว่าในการ “ซุกหุ้น” ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2544 ที่มีการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายโดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นมีความไม่ถูกต้องจนเชื่อได้ว่าจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่ง คอป.เห็นว่าหากให้ ปปง.ได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ แล้วก็คงจะพบความไม่ถูกต้องและการกระทำความผิดกฎหมายที่กล่าวมาแล้ว
หนังสือนายคณิตระบุว่า คอป.ยังเห็นว่า การกระทำของผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคนในความไม่สงบเมื่อปี 2553 ที่ได้มีการประกาศหรือโฆษณาแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดและได้เกิดการเผาที่ทำการของรัฐหลายแห่งและอาคารของเอกชนนั้น ก็เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาอย่างแน่ชัด ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85 ซึ่งสำหรับเรื่องหลังนี้มีพยานหลักฐานปรากฏชัดแจ้งที่สามารถนำคดีไปสู่ศาลได้ ส่วนเรื่องการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายนั้นก็อยู่ในวิสัยที่กระบวนการยุติธรรมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ยากแต่ประการใดและคงจะสามารถนำไปสู่ศาลได้เช่นเดียวกัน
หนังสือระบุด้วยว่า ในฐานะอดีตประธาน คอป. ในฐานะอดีตอัยการสูงสุด ในฐานะนักวิชาการผู้สอนกฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งได้นิพนธ์ตำรากฎหมายสองลักษณะนี้ด้วย และในฐานะประชาชนผู้เสียภาษี ใคร่ขอตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมของประเทศนอกจากไม่แก้ปัญหาพื้นฐานเรื่องการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายและการวางเพลิงเผาบ้านเผาเมืองแล้ว ยังทำตนตกเป็นเครื่องเป็นของทางการเมืองอีกด้วย