รักษาการนายกฯ ประชุมสภากลาโหม “ธนะศักดิ์” คุย “นิพัทธ์” ชื่นมื่นกลบกระแสเหวี่ยงผ่านสื่อ “ประยุทธ์” กินข้าวดี๊ด๊า ก่อนจ้อสื่อ ปิ๊งไอเดียเสนอตั้งสภาประชาชนของแท้ ส่งคนกลางจับคนทุกสีมาคุยกัน ถามตรงๆ นายกฯ ไม่ชอบธรรมตรงไหน ลั่นต้องแก้ข้างล่าง อย่าเอาแกนนำเกี่ยว ทำยังไงสลายสีเสื้อให้ได้
วันนี้ (20 ธ.ค.) ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเวลา 9.00 น.นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการ รมว.กลาโหม เป็นประธานในการประชุมสภากลาโหม ประจำเดือนธันวาคม 2556 โดยมี พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ และนายทหารระดับสูงเข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้นำเรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย รักษาพระองค์ กระทรวงกลาโหม พ.ศ. .... และเรื่องความคืบหน้าในการจัดทำระบบข้าราชการพลเรือนกลาโหม รวมถึงเรื่องผลการประชุมยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ครั้งที่ 1
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุมสภากลาโหม พล.อ.ธนะศักดิ์ ได้พบกับ พล.อ.นิพัทธ์ ซึ่ง พล.อ.นิพัทธ์ ได้เดินเข้าไปสวัสดี พร้อมยกมือไหว้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ก่อนจะพูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเองตามปกติ ท่ามกลางการจับตาของสื่อมวลชนที่ให้ความสนใจ ภายหลังที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ และ พล.อ.นิพัทธ์ มีความขัดแย้งเรื่องการออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเฉพาะจุดยืนของกองทัพต่อสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ซึ่ง พล.อ.ธนะศักดิ์ ได้กล่าวเพียงสั้นๆ หลังถูกสื่อมวลชนเข้าไปซักถามถึงการพบกันดังกล่าวว่า ไม่ได้มีปัญหา หรือความขัดแย้งจนถึงขั้นที่จะต้องเคลียร์ใจกัน โดยเรื่องในอดีตก็อยากให้เป็นเพียงอดีต ไม่อยากให้นำมาเป็นประเด็นความขัดแย้งอีก ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ส่งยิ้ม ทักทายผู้สื่อข่าวตามปกติ แต่ไม่ได้มีการพูดคุยถึงประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า บรรยากาศภายในสโมสรทหารบก ถ.วิภาวดีรังสิต มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น โดยมีการสนธิกำลังจากกองร้อยรักษาความสงบ จากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ รวมถึงกองพันทหารสารวัตรที่ 11 จำนวน 2 กองร้อย และเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 3 กองร้อย รวมประมาณ 750 นาย ซึ่งได้วางกำลังบริเวณประตูทางเข้าและประตูทางออก จำนวนประตูละ 20 นาย
ทั้งนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อม พล.ต.ต.ฉันท์วิชย์ รามาสูตร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้มาตรวจความเรียบร้อยร้อย หลังกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท.รวมถึงม็อบพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศว่าจะเดินทางมาชุมนุมเพื่อคัดค้านไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าร่วมประชุมสภากลาโหม
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์หลังรับประทานอาหารกลางวันกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงกรณีที่หลายฝ่ายออกมาระบุว่า การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.2557 ไม่ใช่ทางออกของประเทศว่า เรื่องนี้ไมได้มีการพูดคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องไปหารือกันต่อไป
“แต่ทั้งหมดเมื่อเป็นเรื่องของกระบวนการอยู่แล้ว ก็จะต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการที่จะต้องดำเนินการ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีส่วนตัว เพราะผมเป็นกองทัพบก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า แรงกดดันที่จะให้ นส.ยิ่งลักษณ์ ลาออกจากตำแหน่งรักษาการนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ถามสื่อมวลชนว่า เรื่องนี้ใครไปกดดันให้ลาออก เมื่อถามย้ำว่า ทาง กปปส.กดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องไปถามนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า กองทัพได้ให้กำลังใจ หรือข้อเสนอแนะกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อะไรที่ไม่ใช่งานในหน้าที่คงไม่ใช่ผม ไม่ใช่กองทัพที่จะไปเสนอนั่นเสนอนี่กับนายกรัฐมนตรีในทุกๆ เรื่อง บางเรื่องเป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง ฝ่ายบริหาร ตุลาการยุติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละฝ่ายที่ทำงานกันอยู่
ในส่วนของการเลือกตั้งเป็นกระบวนอยู่ก็จะต้องว่าไปตามกระบวนการ ในส่วนข้อเรียกร้องของฝ่ายนี้มันถูกหรือมันผิด ก็จะต้องไปดูว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้สถานการณ์มันยุติโดยเร็ว ถ้าเราขยายเอาความขัดแย้งที่มีข้อขัดแย้งอยู่ทั้งสองฝ่ายมาขัดแย้งโต้ตอบกันอยู่แบบนี้ ผมว่ามันไม่จบ ฝ่ายหนึ่งก็จะยอม ฝ่ายหนึ่งก็จะไม่ยอม ผมพูดเข้าอีกทางหนึ่งก็เสียใจดีใจ ผมอยู่ในกระบวนการ แต่ผมไม่ได้ตอบว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้
“วันนี้ตราบใดที่ยังมีความขัดแย้งอยู่จะต้องลดความขัดแย้งให้ได้เสียก่อน จะต้องหาทางออกหรือมีการพูดคุย หรือการยอมรับจากสังคมทุกภาคส่วนให้ได้ ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยอมรับข้างเดียว หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียกร้องข้างเดียว มันคงไมได้ ว่าจะเลือกหรือไม่เลือก จะวันนี้หรือไม่วันนี้ ผมว่ามันไม่ใช่คนๆ เดียวพูด หรือสองคนพูด แต่จะต้องเป็นเรื่องของสังคม เป็นเรื่องของประเทศชาติพูดด้วยกัน ไม่ใช่มาถามผมว่าเห็นด้วยหรือไม่ ผมตอบคนเดียว ส่วนอีกที่เหลือไม่เห็นด้วย แต่ถ้าถามผมว่ากระบวนการใช่หรือไม่ ผมตอบว่าใช่คือกระบวนการ ดังนั้นจะต้องแยกให้ออกระหว่างกระบวนการกับการปฏิบัติ หรือแนวทาง ซึ่งมีคำตอบเยอะแยะ อย่าเอาคำตอบของผมไปลบล้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้”
"แต่ถ้าพูดถึงความถูกต้องชอบธรรมมันเป็นกระบวนการ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ก็จะต้องว่าไปตามกติกา ตามกฎหมาย ตามกระบวนการ แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องของรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ความเห็นชอบร่วมกันก็จะต้องดูตรงนั้นด้วย”
เมื่อสักครู่ได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ก็เป็นห่วงกับสถานการณ์ ผมก็บอกว่า ทหารก็ทำตามหน้าที่ของทหารอยู่แล้วในทุกเหล่าทัพ ผมพูดในนามของเหล่าทัพอื่นๆ เราเป็นทหารก็จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบหลักโดยตรงอยู่แล้ว แต่หน้าที่อื่นๆ ก็ให้การสนับสนุน การช่วยเหลือ การแนะนำ แต่การปฏิบัติจะทำหรือไม่ทำ ใช่หรือไม่ใช่ เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร และกระบวนการ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า วันที่ 23 ธ.ค.นี้ จะเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งในระบบปาร์ตี้ลิสต์นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปถามทาง กกต.แต่ที่ผ่านมาเราก็เคยส่งกำลังสารวัตรทหาร (สห.) สนับสนุน ดูแลรอบนอกอยู่แล้ว แต่เราไม่สามารถเข้าไปดูแลในคูหา เพราะกฎหมายเขียนไว้ชัดเจน ทั้งนี้ทางกองทัพบกก็พยายามทำหน้าที่ของเราเต็มที่อยู่แล้ว อย่ามองว่าเราไปอยู่ข้างใคร เราอยู่ในหลักการ เหตุผล ประเทศชาติ ประชาชน ทุกสี ทุกพวก ทุกเหล่า สิ่งที่ต้องแก้ อย่าไปพูดความขัดแย้งว่า ต้องเลือกตั้งหรือไม่ แต่จะทำอย่างไรเพื่อลดความขัดแย้งของประชาชนทุกระดับให้ได้
“วันนี้สิ่งที่ผมห่วงด้านความมั่นคง ผมพูดได้เต็มที่ สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ในวันนี้ประชาชนทุกพื้นที่ ทุกจังหวัด มีการปลุกระดมจนจะฆ่ากันอยู่แล้ว และถ้าฆ่ากันขึ้นมาจะทำอย่างไร ไม่ว่าจะสีแดง สีเหลือง หรือสีอะไรต้องไปตั้งโต๊ะคุยกันทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ถ้ายังปล่อยให้ทุกคนพูดกันอยู่อย่างนี้ ไม่มีทางแก้ไขปัญหาอะไรได้ แล้วจะมากดกันข้างบนจนถึงผู้บริหารขึ้นมาเรื่อยๆ สรุปว่า วันนี้ต้องแก้ปัญหาจากระดับล่างขึ้นมา แต่ใครจะทำผมไม่รู้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ให้ทหารเป็นคนกลางเข้าไปคุยในแต่ละจุดได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขาไม่ฟังผมหรอก ต้องให้เขาไปคุยกันเอง
“หาเวทีให้แดงกับเหลืองคุยกันได้หรือไม่ โดยไม่ตีกันก่อน ให้เขาคุยกันว่าเขาไม่ชอบธรรมตรงไหน ผิดตรงไหน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจก่อน วันนี้ประชาชนไม่เข้าใจอยู่ข้างไหนก็ข้างนั้น แล้วอย่างนี้ใครจะแก้ได้ก็แก้ไม้ได้ ต้องแก้ข้างล่างให้ได้ก่อนว่า ทำอย่างไรประชาชนจึงไม่มีสี แล้วเขาจะได้พูดว่า สิ่งที่เขาไม่ชอบธรรม ไม่เป็นธรรมคืออะไรบ้าง ลิสต์ขึ้นเป็นข้อๆ มา เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ถ้าตั้งสภาข้างบนก็จะต้องมีสภาประชาชนข้างล่างให้ได้ ซึ่งต้องเป็นประชาชนจริงๆ อย่าเอาแกนนำไปอยู่ข้างล่าง มิเช่นนั้นทะเลาะกันตาย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า สภาประชาชนที่ระบุหมายถึงประชาชนจริงๆ ไม่ใช่สภาประชาชนของนายสุเทพ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ อย่าไปพูดว่าเป็นนายสุเทพ สภาที่ว่าใครจะจัดไม่รู้ แต่สภาที่ว่าต้องมีตัวแทนประชาชนทุกคนอยู่สภา แต่ใครจะเป็นคนจัด ไม่ใช่ กปปส.จัดแล้วคุณรับหรือไม่ คุณต้องหาคนมาจัดให้ได้ หากรัฐบาลจัด หรือ กปปส.รับหรือไม่ ก็ไม่รับ แล้วอย่างนี้ใครจะจัด ต้อไปหามา ซึ่งผมไม่รู้
เมื่อถามว่า ตอนนี้มองว่าการเมืองยังแก้ไขด้วยการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็จะต้องแก้ไขด้วยการเมือง จะแก้ไขด้วยการทหารหรือ เมื่อถามย้ำว่า ปฏิวัติจะช่วยแก้ได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า ปฏิวัติอย่างไร ผู้สื่อข่าวตอบว่า ปฏิวัติด้วยการร่างใหม่ จัดระเบียบใหม่ จะทำให้ทุกฝ่ายยอมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็คุณเรียกร้องมา คุณรับผิดชอบหรือเปล่า อย่ามาพูดคำนี้กับผม เพราะผมเลิกพูดไปนานแล้ว
เมื่อถามว่า แนวคิดที่มีการถกเถียงอยู่ว่าจะเลือกตั้งก่อน หรือปฏิรูปก่อน กองทัพมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อะไรแก้ได้ก่อนเร็วก็แก้ บางอย่างแก้ได้เร็ว บางอย่างแก้ได้ช้า แต่อันไหนแก้ได้เร็วก็แก้ก่อน อะไรแก้ไม่ได้ก็ไปหาทางแก้ทีหลัง แต่ตนจะไม่ใช่คำว่าจะต้องเลือกตั้งก่อน หรือปฏิรูปก่อน มันเป็นคนละเรื่องอย่าเอามาพันกัน การปฏิรูปมีอะไรบ้าง อะไรทำได้วันนี้ทำไปเลย ใครทำได้ทำไป พรรคการเมืองทำก่อนได้หรือไม่ก็ทำไป ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน อะไรแก้ได้แก้ไปก่อนทุกคนมีกฎหมาย กติกาของตัวเอง ถ้าไปรอกฎหมายใหญ่ทำทีเดียวก็แก้ไขไมได้อยู่ดี ถึงเวลาก็แก้ไม่ได้ เพราะมันเยอะกันเกินไป แต่ถ้าวันนี้ทุกคนแสดงความจริงใจ เอาปัญหาของตัวเองขึ้นมาแล้วแก้ไขกัน ถ้าทุกอย่างมาฝากแบกไว้กับรัฐบาลมันไม่ได้แก้สักอย่าง เพราะมันช้าเกินไป ดังนั้นจะต้องปฏิรูปตัวเอง ปฏิรูปหน่วยงานของท่านก่อน ถ้าทั้งหมดไปว่ากันด้วยกฎหมายก็ตีกันอยู่ดี เพราะมันไม่เคารพกฎหมาย ส่วนใครจะเป็นเจ้าภาพนั้น ผมคิดว่าเดี๋ยวคงมีเอง โดยประชาชนไปเลือกกันมา ซึ่งไม่ใช่เป็นประชามติจากประชาชน เพราะประชามติทำไม่ได้ตอนนี้ เนื่องจากไม่มีสภา ผมคิดว่าวันนี้จะต้องมีคนเสนอเรื่องพวกนี้มา และนำสู่การแก้ไขปัญหาโดยที่มีความไว้วางใจจากทุกส่วน ส่วนจะเป็นใครผมยังคิดไม่ได้
เมื่อถามว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้หรือไม่ที่จะเข้ามาเป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คุณก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ให้ท่านพักผ่อน แต่ท่านก็เป็นห่วงเป็นใย ท่านไม่อยากเข้ามายุ่ง เพราะขัดแย้งกันเกินไป ผมคิดว่าจะต้องตั้งอันนี้ขึ้นมาให้ได้ เมื่อตั้งได้ก็จะนำไปสู่การปฏิบัติ โดยจะมีกฎหมายรองรับ ให้สภามีอำนาจอย่างแท้จริง และมีการกำหนดโรดแมป 1-2-3 ใกล้-กลาง-ไกล แต่ทั้งหมดจะทำก่อนหรือหลัง ผมตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของผม ดังนั้นอย่าดึงผมเข้าไปเกี่ยวพันว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง วันที่ 2 ก.พ.ดีหรือไม่ดี ตนตอบไม่ได้ ผมตอบว่ากระบวนการว่ามาอย่างไรก็ว่าไปตามกระบวนการ ส่วนจะทำหรือไม่ทำก็จะต้องสร้างความเข้าใจระหว่างฝ่ายบริหาร ประชาชน และคู่ขัดแย้งที่มีความเห็นต่าง ก็จะต้องมาตกลงกันให้ได้ว่าจะทำกันอย่างไร จะถอยกันตรงไหน จะลดจะเพิ่มกันตรงไหนก็จะต้องว่ากัน ถ้าไล่กันจนมันไปไม่ได้ก็ตีกัน ประชาชนตีกัน แต่พวกนี้ไม่เห็นดีกันเลย เราจะหยุดประชาชนข้างล่างได้อย่างไร
“วันนี้อย่ามามองกันเฉพาะในกรุงเทพฯ อย่ามองกันแค่เฉพาะทีวี จะต้องไปมองที่ต่างจังหวัดด้วย เพราะมีการเคลื่อนไหวจากทุกพวกทุกฝ่าย ผมต้องขอร้องกับทุกฝ่ายด้วยว่า การที่ทำให้ประชาชนขัดแย้งกันเป็นสองพวก หรือสามพวก สี่พวก ไม่เป็นสิ่งที่ดีเลย วันหน้าหากคอนโทรลไม่ได้ หรือควบคุมไม่ได้ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ในเมื่ออยู่ร่วมกันไม่ได้ พวกหนึ่งเห็นอีกพวกหนึ่งไม่ชอบธรรม อีกพวกหนึ่งเห็นว่าพวกนี้ไม่ถูกต้อง ถ้ายังยุกันแบบนี้ ผมว่ามันสู้กันแน่ประชาชน เมื่อนั้นผมก็บอกว่าทหารก็หยุดไม่อยู่ ผมไม่สามารถที่จะไปทำร้ายประชาชนได้ เมื่อมีการใช้กำลังต่อกัน มันก็จะต้องไปหยุดด้วยกำลัง ผมว่าหากใช้กำลังกับประชาชนคนไทยด้วยกันก็จะเกิดความเสียหาย ผมไม่ได้พูดถึงการย้อนกลับไปในอดีต แต่อดีตจะต้องดูว่าเราใช้อาวุธกับอะไร เราจำเป็นจะต้องมีอาวุธเพราะอะไร วันนี้ลืมหมดไปหรือเปล่า ปี 2553 ไม่เห็นพูดแบบนี้เลย อย่าเอามาปนกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ขณะที่ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เนื่องในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ที่จะถึงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้มีความห่วงใยต่อกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงทหารที่ปฏิบัติอยู่ในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าพื้นที่อื่น อีกทั้งยังไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้เหมือนกับประชาชนปกติ ดังนั้นผู้บัญชาการทหารบกจึงได้ส่งความห่วงใยแก่ทหารเหล่านี้ ด้วยการให้สานต่อโครงการ “ส่งคำอวยพรปีใหม่แด่ทหารชายแดนในเทศกาลปีใหม่” โดยเชิญชวนให้ประชาชนคนไทยร่วมส่งความสุข ความปรารถนาดี และความห่วงใย เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนรอบประเทศ ในนาม “กองกำลังชายแดนกองทัพบก” โดยประชาชนสามารถส่งความปรารถนาดีในรูปแบบบัตรอวยพร ส.ค.ส.และของขวัญไปยังที่ตั้งกองกำลังชายแดนกองทัพบกทั่วประเทศ ตามที่อยู่ ดังนี้
กองกำลังผาเมือง 182/3 ถ.โชตนา ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50300, กองกำลังนเรศวร ต.ไม้งาม อ.เมือง จ.ตาก 63000, กองกำลังสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 71290, กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา ต.โนนสูง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41330, กองกำลังสุรนารี ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000, กองกำลังบูรพา ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว 27160, กองกำลังเทพสตรี ค่ายเทพสตรีศรีสุนทร ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช 80310, กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี 94160 โดยทุกคำอวยพรและของขวัญทุกชิ้นจะถูกจัดสรรส่งถึงผู้ปฏิบัติงานทุกคน เพื่อให้ได้รับรู้ถึงความห่วงใยและความปรารถนาดีของคนไทยที่มีต่อเจ้าหน้าที่ทหาร