xs
xsm
sm
md
lg

“เพื่อไทย” พลิกลิ้น แถไม่รับอำนาจ “ศาลรัฐธรรมนูญ” แค่ค้านคำตัดสิน-วอนม็อบกลับเถอะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พรรคเพื่อไทย แถลงไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 21 พ.ย. 2556
พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์กลับลำ 180 องศา อ้างที่ไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ แค่ไม่เห็นด้วยตัดสินคดี อ้างไม่มีอำนาจวินิจฉัยคดีชำเรารัฐธรรมนูญ ซัดชุมนุมละเมิดกฎหมาย วอนกลับออกมา ร้อง “อภิสิทธิ์-ชวน” ลาก “สุเทพ” ลงหลังเสือ พบเปรียบเทียบแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ ท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมลูกหาบไม่รับอำนาจศาลแบบหัวชนฝา

วันนี้ (29 พ.ย.) พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ระบุว่า จากที่มีการชุมนุมทางการเมือง และขณะนี้การชุมนุมที่สงบได้เปลี่ยนเป็นการชุมนุมที่มีการละเมิดกฎหมาย และมีการยึดสถานที่ราชการ ซึ่งไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทย ขอแถลงว่า

1.พรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้แกนนำผู้ชุมนุมและผู้ชุมนุมที่ยึดสถานที่ราชการ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายและหลักนิติธรรม ให้ออกจากอาคารและสถานที่ราชการ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐและข้าราชการ สามารถให้บริหารประชาชนอย่างต่อเนื่อง

2.พรรคเพื่อไทย สนับสนุนท่าทีของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ในการเปิดพื้นที่พูดคุยระหว่างฝ่ายต่างๆ เพื่อแก้ความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธี

3.พรรคเพื่อไทย เห็นด้วยและสนับสนุนรัฐบาล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลผู้ที่มาชุมนุมอย่างละมุนละม่อม สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

4.เนื่องจากแกนนำผู้ชุมนุม เป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายชวน หลีกภัย และพรรคประชาธิปัตย์ ช่วยดำเนินการให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำผู้ชุมนุม ยุติการยึดสถานที่ราชการโดยพลัน

5.พรรคเพื่อไทย ขอขอบคุณมิตรประเทศและเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ที่แสดงท่าทีว่า ควรยุติข้อขัดแย้งทางการเมือง โดยการพูดคุยกันอย่างสันติวิธี ซึ่งพรรคเพื่อไทยเห็นด้วย

6.พรรคเพื่อไทย ขอเรียนชี้แจงว่า การที่ผู้ชุมนุม หรือพรรคประชาธิปัตย์ ได้ใส่ร้ายรัฐบาลว่า ขาดความชอบธรรม เพราะไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญนั้น พรรคขอชี้แจงว่า พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยประเด็นที่มาของ ส.ว.ในวันที่ 20 พ.ย. 56 เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่จะรับคดีไว้พิจารณา และวินิจฉัยเช่นนั้นเป็นการประกาศว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจในการรับและพิจารณาคดีนี้เป็นการเฉพาะเจาะจง และมิใช่เป็นการประกาศไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเป็นการทั่วไป

7.พรรคเพื่อไทย เห็นว่า ข้อเรียกร้องของหัวหน้ากลุ่มผู้ชุมนุมที่จะตั้งสภาประชาชน ไม่อาจทำได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 50

พรรคเพื่อไทย เห็นว่า การชุมนุมโดยสงบ เป็นการใช้เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมในลักษณะที่ฝ่าฝืนกฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการยึดสถานที่ราชการ ซึ่งเสมือนเป็นการใช้ประเทศและคนไทยเป็นตัวประกัน ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในบ้านเมือง ที่เป็นรากฐานการปกครองประเทศที่ดี และเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนทุกคน

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 21 พ.ย. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายโภคิน พลกุล ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรค พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี และ ส.ส.พรรคบางส่วน ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์พรรคเพื่อไทยต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มา ส.ว.ขัดต่อกฎหมาย

โดย นายจารุพงศ์ แถลงว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยกเลิกสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และให้มีวุฒิสภาจำนวน 200 คน ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 นั้น พรรคเพื่อไทยขอเรียนพี่น้องประชาชนทุกท่าน ดังนี้

1.การที่สมาชิกรัฐสภาประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 312 คน ร่วมเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องดังกล่าว ก็เพื่อให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ดังนั้น สมาชิกรัฐสภาทั้งหมดย่อมต้องมาจากการเลือกตั้งของปวงชน ดังที่ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งหลายปฏิบัติกัน และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งถือเป็นฉบับประชาชน

2.การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า เป็นอำนาจของรัฐสภา โดยมีข้อห้ามแก้ไขอยู่ 2 ข้อ เท่านั้น คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมที่มาของสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับข้อห้ามทั้ง 2 ข้อ แต่อย่างใด ทั้งศาลรัฐธรรมนูญเองก็เคยวินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัย ที่ 18-22/2555 ว่า “รัฐสภาจะใช้อำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราก็เป็นความเหมาะสม และเป็นอำนาจของรัฐสภาที่จะดำเนินการดังกล่าวนี้ได้ ซึ่งจะเป็นการสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 291”

3.การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องในเรื่องดังกล่าว โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เป็นการกระทำที่ถือได้ว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ในข่ายที่จะถูกร้องขอให้ถอดถอนหรือถูกดำเนินคดีอาญาได้ เพราะมาตรา 68 เป็นกรณีเกี่ยวกับการที่บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้ แต่การตรากฎหมาย ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการที่รัฐสภากระทำไปตามอำนาจหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 บัญญัติ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยรับรองไว้เองอีกโสตหนึ่งดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้ได้

4.ศาลรัฐธรรมนูญอ้างหลักนิติธรรมในคำวินิจฉัยในลักษณะที่ต้องการตีความขยายความเพิ่มอำนาจให้ตนเองมากกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เช่นที่ได้เคยทำมาแล้วในคำวินิจฉัย ที่ 18-22/2555 ด้วยการอ้างว่า “ความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ... ถือเป็นเจตนารมณ์หลักของรัฐธรรมนูญว่าจะต้องยึดถือไว้เป็นสำคัญยิ่งกว่าเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” คำวินิจฉัยทั้ง 2 ครั้งในปี 2555 และ 2556 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตัวแทนของปวงชนที่รับมอบอำนาจมาจากปวงชนเพื่อมาแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีที่มาที่ชอบธรรม เป็นประชาธิปไตย และเป็นธรรม ไม่ว่าจะแก้ทั้งฉบับหรือรายมาตราไม่อาจกระทำได้เลย เพราะถูกขัดขวางโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่กล่าวมา ด้วยการตีความรัฐธรรมนูญขยายอำนาจของตนเอง ไม่ยอมผูกพันตามตัวอักษร และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

5.การอ้างหลักนิติธรรม เป็นการกล่าวอ้างอย่างลอยๆ มิได้ระบุให้ชัดเจนว่าตามหลักสากลเขาเป็นเช่นไร การขัดกันแห่งผลประโยชน์ รัฐธรรมนูญ มาตรา 265 ถึง 269 บัญญัติไว้ชัดเจนแล้วว่ามีความหมายอย่างไร แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็เพิ่มเติมขึ้นใหม่ โดยไม่ได้ดูที่องค์กรของตนเองเลยว่า ได้กระทำการขัดต่อหลักที่ตนอ้างหรือไม่ เช่น ได้ตัดสินด้วยความเป็นอิสระ และเป็นกลาง เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ และก่อให้เกิดความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 197 และ มาตรา 201 บัญญัติหรือไม่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ตุลาการ 3 คน เคยเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาก่อน และ 1 ใน 3 คน เคยถูกคัดค้านประเด็นนี้ จนต้องถอนตัวในการพิจารณาคดีในคำวินิจฉัยที่ 18-22/2555 มาแล้ว แต่คราวนี้ไม่ถอนตัว และอีก 1 คน เคยแสดงความเห็นไว้ชัดเจนว่า การลงโทษบุคคลย้อนหลังกระทำได้ถ้าไม่ใช่การลงโทษทางอาญา อันเป็นเหตุให้มีการยุบพรรคไทยรักไทย และลงโทษตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดเป็นเวลา 5 ปี โดยผู้ถูกตัดสิทธิไม่ได้มีโอกาสรับทราบข้อหาและต่อสู้ชี้แจงแต่อย่างใด ดังนั้น หากตุลาการทั้ง 3 หรือ 4 คนดังกล่าวต้องถอนตัว ผลของคำวินิจฉัยจะกลับเป็นตรงกันข้าม

6.การที่ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ขัดต่อมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ นั้น นับว่าเป็นอันตรายที่สุด เพราะเป็นการใช้อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง และถ้าอ้างเช่นนี้ การที่มาตรา 309 ขัดต่อมาตรา 3 และมาตรา 6 จะอธิบายกันต่อไปอย่างไร เนื่องจาก มาตรา 3 กำหนดหลักนิติธรรม มาตรา 6 กำหนดหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ ประกาศ คำสั่งของคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับประกาศ คำสั่งดังกล่าว ให้ถือว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญทั้งหมด แต่กฎหมายที่ออกโดยสภา และพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย อาจถูกโต้แย้งว่าขัดรัฐธรรมนูญได้หมด เช่นนี้เป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างชัดแจ้งที่สุด

7.การก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า มีการกระทำที่ผิดข้อบังคับการประชุมรัฐสภาหรือไม่ เป็นการกระทำที่แทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติโดยชัดแจ้ง ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจในมาตรา 3 และมาตรา 89 ที่บัญญัติให้ “ประธานรัฐสภา ....ดำเนินกิจการของรัฐสภาในกรณีประชุมร่วมกันให้เป็นตามข้อบังคับ” ซึ่งข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 117 บัญญัติว่า “ถ้ามีปัญหาที่จะต้องตีความข้อบังคับนี้ ให้เป็นอำนาจของรัฐสภาที่จะวินิจฉัย ... ให้ถือว่าคำวินิจฉัยนั้นเด็ดขาด” กับข้อ 45 ที่ให้ถือว่าคำวินิจฉัยของประธานถือเป็นเด็ดขาด ถ้ามีการประท้วงว่ามีการฝ่าฝืนข้อบังคับ ยิ่งไปกว่านั้น ข้อ 116 ยังให้อำนาจที่ประชุมรัฐสภามีมติให้งดใช้ข้อบังคับข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ หากศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงเช่นนี้ได้ ก็อาจมีการร้องกันว่าการฝ่าฝืนข้อบังคับทั้งหลายเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญ สภาก็คงปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เลย

8.เมื่อรัฐสภาได้ลงมติในวาระที่ 3 และนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ว่าจะทรงเห็นชอบด้วยหรือไม่ จนกว่าจะพ้นเก้าสิบวัน และมิได้พระราชทานคืนมา การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องและวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวโดยไม่มีอำนาจ ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการกระทบกระเทือนต่อการใช้พระราชอำนาจ และการกระทำในพระปรมาภิไธย ทั้งนี้ เพราะประการแรก ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเองหรือไม่ ประการที่สองเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีการตรวจสอบว่า ร่างพระราชบัญญัติใดมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่แล้วนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 154 ให้ตรวจสอบได้ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ หากมีการทูลเกล้าฯ แล้วย่อมจะอยู่ในพระบรมราชวินิจฉัย ไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

9.การทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ถ้ารัฐธรรมนูญบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบได้ก็ย่อมเป็นไปตามนั้น แต่หากไม่ได้บัญญัติไว้ ย่อมเป็นเรื่องเกี่ยวกับวงงานหรืออำนาจหน้าที่ของรัฐสภา และเป็นอำนาจของรัฐสภาโดยแท้ ดังเช่นที่รัฐธรรมนูญในอดีตทุกฉบับก่อนปี 2540 วางหลักไว้ การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวจะดีหรือไม่ ถูกใจหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ ย่อมจะถูกตัดสินโดยประชาชนในการเลือกตั้ง และนี่ถือเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน ศาลจะก้าวล่วงเข้าไปใช้อำนาจนี้แทนไม่ได้ มิเช่นนั้นก็จะเป็นการยึดอำนาจของประชาชนไปใช้เช่นเดียวกับการรัฐประหาร

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ก่อนที่จะมีการตัดสินคดีดังกล่าว กลุ่ม 312 ส.ส.และ ส.ว.นำโดยนายอำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาล และนายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร ร่วมกันแถลงการณ์สมาชิกรัฐสภาปฏิเสธการไม่ยอมรับอำนาจการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับที่มา ส.ว.รวมถึงมาตรา 190 และมาตรา 68 ประกอบมาตรา 237 ซึ่งนายอำนวยกล่าวว่า การออกมาแสดงตนของสมาชิกรัฐสภาครั้งนี้ เพื่อแสดงการคัดค้านไม่ยอมรับการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเราไม่ได้กระทำผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสอง เพราะเราไม่ใช่บุคคลหรือพรรคการเมือง แต่เราเป็นสมาชิกรัฐสภาที่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราได้

และเมื่อหลังตัดสินคดีผ่านพ้นไปแล้ว นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ยอมรับว่า สับสนถึงแนวทางปฏิบัติต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว.รวมถึงผู้ที่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองจากผลของคำวินิจฉัย แต่ทั้งนี้ ขอย้ำจุดยืนไม่ยอมรับอำนาจศาลฯ พร้อมยืนยันว่า การทำหน้าที่ในฐานะประธานรัฐสภา เป็นไปโดยชอบตามบทบัญญัติของกฎหมาย รวมถึงสมาชิกรัฐสภาทั้ง 312 คน ทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจเช่นกัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อเปรียบเทียบแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย วันที่ 21 พ.ย.และวันนี้ ท่าทีของพรรคเพื่อไทยอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะแถลงการณ์ที่ออกมาวันนี้ระบุว่า พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะรับคดีไว้พิจารณา ไม่ใช่เป็นการประกาศไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเป็นการทั่วไป แตกต่างจากข้อ 9 ของแถลงการณ์ฉบับวันที่ 21 พ.ย.ระบุว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ย่อมจะถูกตัดสินโดยประชาชนในการเลือกตั้ง ถือเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน ศาลจะก้าวล่วงเข้าไปใช้อำนาจนี้แทนไม่ได้ ขณะที่บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทย และ ส.ว.กลับแสดงท่าทีย้ำจุดยืนไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญตลอดมา


กำลังโหลดความคิดเห็น