ญาติวีรชน-นักกฎหมาย-นักสิทธิมนุษยชนเสวนา จวกนิรโทษเหมาเข่งทำประเทศเสียหาย หวั่นกลียุคล้างผิดคนโกง ทำประชาชนเดือด เตือนประวัติศาตร์ซ้ำรอย วอนรัฐบาล-ส.ว.สกัดกั้น “พะเยาว์” ลั่นไม่ยอมกลืนเลือดของลูกเด็ดขาด ย้อนถ้าคนตายมีตระกูลชินวัตรจะลืมได้ไหม แฉ “อ้ายปึ้ง” ประวิงเวลารับอำนาจไอซีซี แต่ทำไมคาบพาสปอร์ตแดงให้ทักษิณได้เร็ว
วันนี้ (5 พ.ย.) ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ร่วมกับเครือข่ายประชาชนจัดเวทีอภิปรายและการแถลงข่าว “นิรโทษกรรมเหมาเข่งเพื่อไทย? นิรโทษกรรมเหมาเข่งเพื่อใคร?” มีนายสมชาย หอมลออ กรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) นายสุณัย ผาสุก องค์การ Human Rights Watch นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 นางพะเยาว์ อัคฮาค ญาติผู้เสียหายจากเหตุการณ์พฤษภา 53 โดยนายอดุลย์ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ผ่านการพิจารณาของสภา 3 วาระ เป็นเหตุผลที่ญาติพฤษภา 35 ต้องออกมา เพราะมองว่าน่าจะมี พ.ร.บ.ภาคประชาชนที่ขอให้มีการนิรโทษให้ประชาชน ยกเว้นผู้ที่มีส่วนในการสั่งการหรือผู้ที่ทำให้เกิดการสูญเสียบาดเจ็บล้มตายไม่ได้รับการพิจารณา แต่ได้มีการนำร่างนิรโทษกรรมที่ผ่านวาระ 2-3 กลับมีการนิรโทษในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องไปสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักการนำไปสู่การนิรโทษกรรมเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชันแทน จึงเป็นที่มาของหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยออกมาทำการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งประเทศไทยเคยออกกฎหมายล้างผิดหรือนิรโทษกรรมมาจำนวน 22 ฉบับ แต่ไม่เคยมีฉบับไหนไปเกี่ยวข้องกับการล้างผิดการโกง นอกจากนี้ร่างนิรโทษกรรมยังไปบอกว่าล้างผิดนิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่ายมาถึงปี 56 มันเกินความเป็นจริงไป แต่สิ่งที่เป็นห่วงตนได้ยินข่าวลือว่า จะมีการระดมคนที่เห็นด้วยกับรัฐบาลออกมาเคลื่อนไหวตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.เป็นต้นไป ในฐานะที่เคยสูญเสียอยากเรียกร้องให้รัฐบาลที่บริหารประเทศได้ช่วยแก้ไขอย่างที่เคยพูดไว้ว่า แก้ไขไม่แก้แค้น เพราะคนที่ออกมาไม่ได้มาล้มรัฐบาล แต่ออกมาล้ม พ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น อย่าให้ไทยต้องฆ่าไทยด้วยกันเลยต้องขอวิงวอนและความเมตตาด้วย
นางพะเยาว์ กล่าวว่า การที่ออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตั้งแต่แรก เพราะมีความเชื่อมั่นว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาพูดเรื่องการนิรโทษกรรม ทำให้เกิดความหวาดระแวงจะไม่มีการเอาผิดกับผู้ที่สั่งการทำให้เกิดเหตุการณืในปี 53 แล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วการที่ออกมาพูดขอให้มีการกลืนเลือด ต้องขอพูดตรงๆ ว่า จะไม่ยอมกลืนเลือดของลูกเด็ดขาด แล้วขอเรียกร้องความเป็นธรรมแทนทุกศพที่ตายให้ได้นำความจริงมาเปิดเผยว่า ใครเป็นคนสั่งการสั่งฆ่า ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยได้ใช้คำพูดเรื่องนี้หาเสียงมาตลอด ถ้าเป็นรัฐบาลจะเอาคนที่สั่งฆ่ามาลงโทษเอาเจ้าหน้าที่รัฐเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ผลสุดท้ายทรยศหักหลังประชาชนทั้งประเทศ แล้วยังมาบังคับให้เราลืมไปเถอะ ขอย้อนถามว่า ถ้าคนที่ตายมีตระกูลชินวัตรจะลืมไปได้มั้ย ตกลง พ.ร.บ.ฉบับนี้เพื่อใครกันแน่ การที่บอกว่าถ้าค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะทำให้คนที่อยู่ในเรือนจำ 3 ปี ไม่มีโอกาสกลับออกมา ขอบอกตามจริงพวกเขาเหล่านั้นน่าจะได้ออกมานานแล้ว แต่กลับถูกจับเป็นตัวประกันใช้เป็นเหยื่อ
“ดิฉันบอกตามตรงถ้าเป็นไปได้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ยื่นเข้าไปเป็นแมวพอออกมาหน้าเป็นหมาบอกได้เลยประชาชนรับไม่ได้มากกว่ายัดไส้มันมากเกิน รัฐบาลชุดที่แล้วอภิสิทธิ์ สุเทพ สั่งฆ่าประชาชน แต่มาปี 2556 รัฐบาลเพื่อไทยที่ตะโกนด่า บอกว่า พวกคุณเป็นฆาตกรร้อยศพสั่งฆ่าประชาชน แต่มาวันนี้พวกคุณกลับเป็นคนขุดหลุมฝังคนตายฝังความจริง แล้วมาบอกว่า เป็นวีรชน ดิฉันไม่อยากได้ไม่อยากให้ลูกเป็นวีรชน ไม่ยอมกลืนเลือดลูกตัวเอง ถ้าความจริงถูกหมกเม็ดไว้แล้วจะขอเรียกร้องเรื่องนี้ต่อไป ถ้าถอยได้คนละก้าวขอให้ถอนออกมาก่อนแล้วมานั่งคุยกัน เพราะเวลานี้เหตุการณ์ที่คุณกำลังทำให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ฉบับนี้ในหลายเรื่องหลายอย่างโดยเฉพาะการเหมาเข่ง ดิฉันกลัวเหลือเกินถ้าประชาชนออกมาเรื่อยๆ อาจมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันทำให้เกิดความรุนแรง แล้วจะไปบรรจบเหมือนเหตุการณ์ปี 53 ตรงนี้ไม่อยากเห็น ซึ่งถ้ามีเหตุการณ์รุนแรงจริงรัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบด้วย” นางพะเยาว์ กล่าว
นางพะเยาว์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลบอกว่าการจะยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ต้องไปหารายชื่อประชาชน โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.กระทรวงการต่างประเทศ บอกขอเวลา 10 เดือน แต่นี้ผ่านมาปีกว่าแล้ว เรื่องนี้เพียงรัฐมนตรี ก.การต่างประเทศ หรือนายกรัฐมนตรีลงนามก็ได้แล้วกลับไม่ทำ แต่ที่เรื่องพาสปอร์ตแดง พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไมทำได้ ตนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายถอยคนละก้าว เพราะประชาชนที่ออกมาที่ท้องถนน อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้เหมือนเหตุการณ์ปี 53
โดยนายสมชาย กล่าวถึงความขัดแย้งของประเทศหลังการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของรัฐบาล ที่มีประชาชนออกมาคัดค้านร่างดังกล่าวแผ่ขยายเป็นวงกว้างในขณะนี้ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้มีความไม่ถูกต้อง 2 ประการ คือ 1.ขั้นตอนกระบวนการร่างกฎหมายไม่ถูกต้อง จนประชาชนขาดความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาในการที่เร่งรีบพิจารณาผ่านกฎหมาย และไม่มีความโปร่งใส ทั้งที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายได้เสนอความคิดเห็นไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่กลับไม่มีการหยิบยกมาอภิปรายในชั้นกรรมาธิการ เป็นการรวบรัดลงมติเห็นชอบโดยไม่ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยอ้างแต่เสียงข้างมากไม่ฟังเสียงข้างน้อย เรื่องทั้งหมดจึงต้องพึ่งวุฒิสภา และศาลรัฐธรรมนูญ ในการสกัดกั้นกฎหมายดังกล่าว ที่จะสร้างประชามติให้รัฐบาลนี้ต้องลาออก หรือยุบสภา ส่วนในด้านเนื้อหาก็ไม่ถูกต้อง ขัดหลักการ เพราะไม่ได้คำนึงถึงหลักมนุษยชน ทั้งนี้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายได้เสนอไว้ว่าการนิรโทษกรรมเป็นมาตราสุดท้าย ก่อนที่จะเกิดกระบวนการปรองดอง ต้องให้ผู้ทำผิดได้รับการลงโทษ จึงจะได้รับการอภัย การอภัยจะเกิดขึ้นก่อนไม่ได้ เพราะประชาชนต้องรู้ความจริงก่อน และคนที่จะได้รับนิรโทษต้องสำนึกต่อการกระทำความผิดนั้นด้วย
ขณะที่ นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลควรเสนอการนิรโทษกรรมที่ไม่เหมาเข่ง ความผิดร้ายแรงต้องไม่ได้รับการนิรโทษกรรม แต่ควรนิรโทษกรรมในความผิดทางเทคนิค ที่เป็นการออกคำสั่งโดยรัฐบาล ความผิดในการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมที่สงบปราศจากอาวุธ หมิ่นประมาท และมาตรา 112 ก็ควรพิจารณาด้วย เพราะเป็นเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพ การนิรโทษฯจึงควรทอดเวลาให้มีเงื่อนไขในการเยียวยา ปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้ดีเสียก่อน แต่ตนก็ไม่เห็นด้วยที่พรรคการเมืองจะลงท้องถนนอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังทำอยู่ในขณะนี้ เพราะเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยทำมาแล้ว ก็จะซ้ำรอยเดิม ทางที่ดี 2 พรรคใหญ่ควรตกลงกันให้ได้ ไม่ควรลงมาที่ท้องถนน ซึ่งสะท้อนกระบวนการรัฐสภาที่ล้มเหลว ขณะนี้เรามีพรรคการเมืองอนุรักษนิยม กับพรรคการเมืองละโมบนิยม การเมืองถูกออกแบบมาไม่ได้มีพื้นที่ให้กับกลุ่มที่เห็นต่างจากชนชั้นนำ อย่างไรก็ตามกฎหมายฉบับนี้ถ้าไม่ผ่านวุฒิสภา หรือศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องน่ายินดี แต่ถ้าผ่านประเทศก็จะเกิดความขัดแย้ง ตนเห็นว่ารัฐบาลไม่รู้จักหน้าที่ของตนเองที่ต้องสร้างความสงบสุข ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง การที่พรรคเพื่อไทยจะระดมคนออกมาจะนำไปสู่ความขัดแย้ง จึงเป็นเรื่องที่ควรตระหนัก
“รัฐบาลออกมาพูดก่อนเที่ยงไม่ได้แสดงภาวะผู้นำในการแก้ไขความขัดแย้งว่าจะทำอย่างไร พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะนำไปสู่ความขัดแย้ง จึงเป็นหน้าที่โดยตรงที่รัฐบาลจะต้องลดความขัดแย้งไม่ให้เกิดความรุนแรงเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาล” นายสมชายกล่าว
ด้าน นายสุณัย กล่าวว่า ฮิวแมนไรท์วอทช์มีจุดยื่นตั้งแต่ต้นที่จะเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งเป็นหลักสากล เป็นสัญญาที่พรรคเพื่อไทยให้ไว้ แต่ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยพยายามแอบอ้างเอารายงานสถาบันพระปกเกล้ามาตัดตอนทางการเมือง และเสนอการนิรโทษกรรมต่างกรรมต่างวาระ จนกระทั่งออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ จึงถือเป็นการตระบัดสัตย์ ทรยศประชาชน ทั้งยังผิดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ผิดหลักจริยธรรมและผิดหลักทางการเมืองที่เคยหาเสียง ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้รับปากกับแม่น้องเกดเองว่าจะนำฆาตกรมาลงโทษให้ได้ แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีการเกี้ยเซี๊ยะกับฆาตกรฆ่าประชาชน โดยการจะนิรโทษกรรมให้ทั้งหมด ถือเป็นการหักหามน้ำใจคนเสื้อแดงที่ต่อสู้เพื่อรัฐบาลที่รักยิ่งกว่าชีวิต ซึ่งเลวร้ายกว่าสิ่งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทำเสียอีก เพราะฉะนั้นรัฐบาลอย่าดูถูกดูแคลน หรือดิสเครดิตประชาชน ที่ออกมาประท้วงไปมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะทำมันขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ที่ใครจะรับได้ และหากรัฐบาลผลักดันร่างนิรโทษนี้สำเร็จ จะเป็นการสร้างมาตรฐานที่เลวร้ายให้สังคมไทย ให้ผู้นำสามารถสั่งการฆ่าประชาชนและก็นิรโทษกรรมให้ในภายหลัง
“หากรัฐบาลอยากเห็นความปรองดองรัฐบาลต้องหยุดร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ขอฝากความหวังไปที่วุฒิสภา ที่จะเป็นตัวสกัดร่างนี้โดยขอฉันทามติคว่ำร่างกฎหมายดังกล่าว จากนั้นค่อยมาเริ่มต้นกระบวนการสมานฉันท์กันใหม่ โดยเชิญทุกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งและเป็นเหยื่อทางการเมืองมาหาจุดในความยุติธรรมร่วมกัน เพื่อให้มีกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับประชาชน” นายสุณัย กล่าว
เมื่อถามว่า หากวุฒิสภาผ่านความเห็นชอบจะมีมาตรการต่อไปอย่างไร นายสุณัย กล่าวว่า จะทำการคัดค้านได้ 2 จุด คือ 1.ศาลรัฐธรรมนูญตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ 2.กระบวนการนอกประเทศที่คณะมนตรีความมั่นคงด้านสิทธิมนุษยชน และข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ได้เขียนจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีไทยมา 2 ครั้ง ว่าเนื้อหาของกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นการเขียนอย่างกว้าง คนทำผิดไม่ต้องรับผิด แต่รัฐบาลกลับไม่ฟัง ทั้งที่จะหาเสียงเพื่อเข้าร่วมเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ วาระ 1 ถ้าคุณสมบัติของรัฐบาลเป็นอย่างนี้ อย่าไปเป็นสมาชิก คุณสมบัติไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการฉ้อฉล ใช้ความรุนแรงจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นระหว่างประเทศที่เห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ต้องรับผิดชอบ จนเกิดความเสียหายะระยะยาว เป็นประเทศเถื่อน