รมช.กห.ยันชายแดนไทย-เขมร ไม่น่ากังวล ลงพื้นที่เข้าใจกันดี ไม่เพิ่มกำลัง กลุ่มเครือข่ายปกป้องแผ่นดินไทยอีสานใต้-ตะวันออก เคลื่อนขบวนต้านคำตัดสินคดีพระวิหารที่กันทรลักษ์ ชี้เสี่ยงเสียดินแดนกว่า 7 จังหวัด พื้นที่ 1.8 ล้านไร่ และทางทะเล 17 ล้านไร่ รวมถึงทรัพยากรพลังงาน ย้อนเขมรไม่เคยทำตามข้อตกลง ใช้พื้นที่พิพาท คนไทยดันเข้าไม่ได้ ยันศาลตัดสินมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง
วันนี้ (1 พ.ย.) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ลพบุรี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า สถานการณ์ช่วงนี้ไม่น่ากังวลอะไร จากการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมาเรียบร้อยดี พูดคุยกันหมดทุกเรื่องแล้ว เข้าใจกันดี ทั้งนี้คงไม่มีการเพิ่มกำลังตามแนวชายแดน เพราะเท่าที่มีก็เพียงพอแล้ว
ขณะที่บริเวณหน้าศาลหลักเมือง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กลุ่มเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทยอีสานใต้-ตะวันออก นำโดยนายวีรพล โสภา แกนนำเครือข่ายฯ พร้อมมวลชนกว่าร้อยคน ได้เคลื่อนขบวนรถยนต์ติดเครื่องขยายเสียงขับไปตามถนนในตัวเมือง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อต่อต้านคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ในวันที่ 11 พ.ย.นี้ โดยนายวีรพลกล่าวว่า ทางเครือข่ายได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการตัดสินของศาลโลกน่าจะมีความสุ่มเสี่ยงทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน ไม่เฉพาะปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น แต่รวมไปถึงพื้นที่ชายแดนทั้ง 7 จังหวัด ได้แก่ จ.อุบลราชธานี จ.บุรีรัมย์ จ.ศรีสะเกษ จ.สระแก้ว จ.ตราด จ.จันทบุรี และสุรินทร์ โดยมีพื้นที่รวมกว่า 1.8 ล้านไร่ และทางทะเลจำนวน 17 ล้านไร่ ยังไม่นับรวมทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในดินและใต้ท้องทะเลอีกจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ขณะเดียวกัน หากคนไทยรับคำตัดสินของศาลโลก ไม่ว่าจะเป็นในแนวทางใดใน 4 แนวทางที่มีการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ก็จะทำให้ไทยสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนอยู่ดี เพราะที่ผ่านมากัมพูชาไม่เคยปฏิบัติตามข้อตกลงได้สักครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ทับซ้อน ที่ได้มีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน หรือ Mou43 ซึ่งห้ามไม่ให้ดำเนินกิจการ หรือปลูกสร้างสิ่งใดๆ บนเนื้อที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แต่ทางกัมพูชา ก็ยังได้ก่อสร้างบ้านเรือนและนำประชาชนเข้ามาอยู่อาศัย ขณะที่คนไทยซึ่งเคยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวกลับไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
ดังนั้น ทางกลุ่มอยากให้รัฐบาลและกองทัพ ผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามาอาศัยตามแนวชายแดนออกไปตามบันทึกข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกัน สรุปคือไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไรไทยก็มีแต่จะเจ๊ากับเจ๊งเท่านั้น ซึ่งตนยังยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นของแผ่นดินไทย ส่วนการเคลื่อนไหวต่อจากนี้จะเดินทางไปรณรงค์ตามอำเภอต่างๆ ของจังหวัดศรีสะเกษ และมุ่งหน้าต่อไปยัง จ.สุรินทร์ จ.บุรีรัมย์ จ.นครราชสีมา รวมถึงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หากรัฐบาลและกองทัพยังไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อรักษาอธิปไตยและปกป้องผลประโยชน์ชาติ