วานนี้ (30 ต.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี นายคันฉัตร ตันเสถียร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ประชุมเตรียมรับสถานการณ์กรณีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกำหนดอ่านคำพิพากษาตัดสินคดีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 11 พ.ย.นี้ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการสั่งการให้แต่ละหน่วยงานไปทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านคำตัดสินของศาลโลก พร้อมให้จัดวางกำลังป้องกันตามหมู่บ้านชายแดนและคอยช่วยเหลือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการสอดส่องดูแลบุคคลต้องสงสัย
ขณะเดียวกันให้มีการสำรวจดูความมั่นคงแข็งแรงของหลุมหลบภัย โดยยังไม่ต้องมีการซ้อมเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดระหว่างกันและให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีการประสานงานกับฝ่ายกัมพูชา ถึงสถานการณ์ต่างๆ เป็นระยะ เพื่อสร้างความเข้าใจกันด้วย
สำหรับจังหวัดอุบลราชธานี หากเกิดเหตุการณ์ปะทะกันขึ้นมีศูนย์ใช้รองรับผู้อพยพกระจายอยู่ในพื้นที่ 6 อำเภอ จำนวน 29 ศูนย์ มีหลุมใช้หลบภัยจำนวน 100 หลุม โดยมีพื้นที่เสี่ยงภัยในอำเภอน้ำขุ่น จำนวน 4 หมู่บ้าน 1 ตำบล ประชากรประมาณ 2,500 คน ส่วนอำเภอน้ำยืนมีพื้นที่เสี่ยง 39 หมู่บ้าน 3 ตำบล ประชากรเกือบ 32,000 คน
**ตร.ภาค 3 เตรียมกำลังรับมือม็อบ
ที่สนามฝึกกองร้อยรถสายพานลำเลียง กรมทหาราบที่ 6 มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ฝึกทบทวนกองร้อยควบคุมฝูงชน 3 กองร้อย 553 นาย โดยมีหมวดควบคุมฝูงชนที่เป็นตำรวจหญิงด้วย 1 หมวด เพื่อรับสถานการณ์ตามคำสั่งของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งพบการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนต่างๆ
ประกอบด้วยกลุ่มพลังปกป้องแผ่นดิน กลุ่มหน้ากากขาว และกลุ่มไทยอาสาป้องกันชาติจะทำการณรงค์ตามถนนโชคชัย-เดชอุดม วันที่ 31ตุลาคม จากอ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ มุ่งหน้ามารวมตัวกันที่จ.ศรีสะเกษ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา คัดค้านอำนาจของศาลโลก ต่อการตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร โดยมีนายปราโมทย์ หอยมุกข์ เป็นแกนนำ
พล.ต.ต.อภิชาติ เพชรประสิทธิ์ ผบก.ภ.จว.อุบลราชธานี กล่าวว่า การชุมนุมอาจเกิดขึ้นจากกลุ่มพลังประชาชนในจ.ศรีสะเกษ ทำให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 มีคำสั่งให้กองร้อยควบคุมฝูงชน ฝึกทบทวนและเตรียมพร้อมในที่ตั้งตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเข้าสนับสนุนการปฏิบัติงานชุดควบคุมฝูงชนของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ
สำหรับการดูแลใน จ.อุบลราชธานี มีคำสั่งถึงสถานีทุกแห่ง ที่มีพื้นที่ติดชายแดนให้ตั้งด่านดูแลความเรียบร้อย จับตาดูบุคคลต้องสงสัยที่แอบเข้ามา
เคลื่อนไหวตามแนวชายแดนด้วย
**ทอ.เตรียมพร้อมรับสถานการณ์
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์บริเวณพื้นที่ชายไทย-กัมพูชา ในช่วงที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) จะอ่านคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 11 พ.ย.ว่า กองทัพอากาศได้ตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการข่าวสารของกองทัพอากาศ ที่มี พล.อ.อ.อานนท์ จารยะพันธ์ เป็นประธาน ซึ่งจะติดตามข่าวสารทุกเรื่อง โดยภารกิจของกองทัพอากาศที่จะต้องปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงเหมือนปกติ และจะต้องไม่เข้าไปสร้างเงื่อนไขให้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดน พร้อมทั้งร่วมกับคณะกรรมการต่างๆ ติดตามข่าวและวิเคราะห์คำตัดสินของศาลโลก รวมถึงผลกระทบ
นอกจากนี้กองทัพอากาศยังได้ไปเข้าร่วมกับคณะกรรมการต่างๆ ที่รัฐบาลได้จัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม ว่าด้วยความร่วมมือไทย-กัมพูชา (เจซี) เพื่อให้ข้อมูลและดำเนินการร่วมเพื่อดำเนินการต่อไปในภาพรวมของประเทศ
สำหรับแผนเตรียมพร้อมการป้องกันประเทศ กองทัพอากาศมีหน้าที่ลาดตระเวนเพื่อติดตามสถานการณ์ทั้งในส่วนของฝ่ายเราและฝ่ายที่อยู่ใกล้บริเวณชายแดน นอกจากนี้ยังได้มีการเตรียมกำลังเปรียบเสมือนกำลังพักฟื้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า เราจะปกป้องอธิปไตยของเราได้อย่างแน่นอน ส่วนการนำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินลาดตระเวนนั้น คงจะไม่อยู่ในแผนการ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดการยั่วยุ และเกิดความตึงเครียดขึ้นในพื้นที่
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการสั่งการให้แต่ละหน่วยงานไปทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านคำตัดสินของศาลโลก พร้อมให้จัดวางกำลังป้องกันตามหมู่บ้านชายแดนและคอยช่วยเหลือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการสอดส่องดูแลบุคคลต้องสงสัย
ขณะเดียวกันให้มีการสำรวจดูความมั่นคงแข็งแรงของหลุมหลบภัย โดยยังไม่ต้องมีการซ้อมเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดระหว่างกันและให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีการประสานงานกับฝ่ายกัมพูชา ถึงสถานการณ์ต่างๆ เป็นระยะ เพื่อสร้างความเข้าใจกันด้วย
สำหรับจังหวัดอุบลราชธานี หากเกิดเหตุการณ์ปะทะกันขึ้นมีศูนย์ใช้รองรับผู้อพยพกระจายอยู่ในพื้นที่ 6 อำเภอ จำนวน 29 ศูนย์ มีหลุมใช้หลบภัยจำนวน 100 หลุม โดยมีพื้นที่เสี่ยงภัยในอำเภอน้ำขุ่น จำนวน 4 หมู่บ้าน 1 ตำบล ประชากรประมาณ 2,500 คน ส่วนอำเภอน้ำยืนมีพื้นที่เสี่ยง 39 หมู่บ้าน 3 ตำบล ประชากรเกือบ 32,000 คน
**ตร.ภาค 3 เตรียมกำลังรับมือม็อบ
ที่สนามฝึกกองร้อยรถสายพานลำเลียง กรมทหาราบที่ 6 มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ฝึกทบทวนกองร้อยควบคุมฝูงชน 3 กองร้อย 553 นาย โดยมีหมวดควบคุมฝูงชนที่เป็นตำรวจหญิงด้วย 1 หมวด เพื่อรับสถานการณ์ตามคำสั่งของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งพบการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนต่างๆ
ประกอบด้วยกลุ่มพลังปกป้องแผ่นดิน กลุ่มหน้ากากขาว และกลุ่มไทยอาสาป้องกันชาติจะทำการณรงค์ตามถนนโชคชัย-เดชอุดม วันที่ 31ตุลาคม จากอ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ มุ่งหน้ามารวมตัวกันที่จ.ศรีสะเกษ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา คัดค้านอำนาจของศาลโลก ต่อการตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร โดยมีนายปราโมทย์ หอยมุกข์ เป็นแกนนำ
พล.ต.ต.อภิชาติ เพชรประสิทธิ์ ผบก.ภ.จว.อุบลราชธานี กล่าวว่า การชุมนุมอาจเกิดขึ้นจากกลุ่มพลังประชาชนในจ.ศรีสะเกษ ทำให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 มีคำสั่งให้กองร้อยควบคุมฝูงชน ฝึกทบทวนและเตรียมพร้อมในที่ตั้งตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเข้าสนับสนุนการปฏิบัติงานชุดควบคุมฝูงชนของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ
สำหรับการดูแลใน จ.อุบลราชธานี มีคำสั่งถึงสถานีทุกแห่ง ที่มีพื้นที่ติดชายแดนให้ตั้งด่านดูแลความเรียบร้อย จับตาดูบุคคลต้องสงสัยที่แอบเข้ามา
เคลื่อนไหวตามแนวชายแดนด้วย
**ทอ.เตรียมพร้อมรับสถานการณ์
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์บริเวณพื้นที่ชายไทย-กัมพูชา ในช่วงที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) จะอ่านคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 11 พ.ย.ว่า กองทัพอากาศได้ตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการข่าวสารของกองทัพอากาศ ที่มี พล.อ.อ.อานนท์ จารยะพันธ์ เป็นประธาน ซึ่งจะติดตามข่าวสารทุกเรื่อง โดยภารกิจของกองทัพอากาศที่จะต้องปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงเหมือนปกติ และจะต้องไม่เข้าไปสร้างเงื่อนไขให้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดน พร้อมทั้งร่วมกับคณะกรรมการต่างๆ ติดตามข่าวและวิเคราะห์คำตัดสินของศาลโลก รวมถึงผลกระทบ
นอกจากนี้กองทัพอากาศยังได้ไปเข้าร่วมกับคณะกรรมการต่างๆ ที่รัฐบาลได้จัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม ว่าด้วยความร่วมมือไทย-กัมพูชา (เจซี) เพื่อให้ข้อมูลและดำเนินการร่วมเพื่อดำเนินการต่อไปในภาพรวมของประเทศ
สำหรับแผนเตรียมพร้อมการป้องกันประเทศ กองทัพอากาศมีหน้าที่ลาดตระเวนเพื่อติดตามสถานการณ์ทั้งในส่วนของฝ่ายเราและฝ่ายที่อยู่ใกล้บริเวณชายแดน นอกจากนี้ยังได้มีการเตรียมกำลังเปรียบเสมือนกำลังพักฟื้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า เราจะปกป้องอธิปไตยของเราได้อย่างแน่นอน ส่วนการนำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินลาดตระเวนนั้น คงจะไม่อยู่ในแผนการ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดการยั่วยุ และเกิดความตึงเครียดขึ้นในพื้นที่
