ศรีสะเกษ - “ประยุทธ์” ผบ.ทบ. ควง “ยุทธศักดิ์” รมช.กลาโหม ตรวจติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ “ประยุทธ์” ยันหลีกเลี่ยงการรบกันโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นค่อยรบ ขู่ทหารที่อยากรบโดยทำนอกเหนือคำสั่งของผู้บังคับบัญชาขัดต่อนโยบายต้องปลดออกไป
เมื่อเวลา 10.15 น.วันนี้ (31 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมด้วยนายทหารระดับสูงกองทัพบก ได้เดินทางมาตรวจติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาด้านเขาพระวิหาร และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแก่กำลังพล รวมทั้งมาขอบคุณที่กำลังพลทุกนายให้การช่วยเหลือประชาชนชาว จ.ศรีสะเกษ และจังหวัดใกล้เคียงที่ประสบปัญหาน้ำท่วม
โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ได้เข้าห้องประชุมของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 เพื่อประชุมร่วมกับคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพภาคที่ 2 นำโดย พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) และ พล.ต.วรจักร ธรรมวินธร ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ซึ่งได้บรรยายสรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้านเขาพระวิหารให้ รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ.ได้รับทราบ และมีนายประทีป กีรติเรขา ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษและคณะร่วมให้การต้อนรับด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า กรณีจะมีกลุ่มมวลชนมาเคลื่อนไหนกรณีปราสาทพระวิหารในห้วงที่จะมีการพิพากษาของศาลโลกคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 11 พ.ย.นั้น เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจคู่ขนานกันไปและได้หารือเรื่องนี้กับผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และฝ่ายตำรวจแล้ว ซึ่งไม่ควรให้ปัญหานี้ลุกลามบานปลายไปข้างหน้า เราต้องหลีกเลี่ยงการรบกันโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นค่อยรบ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ส่วนจุดที่จะยอมให้กลุ่มพลังมวลชนอยู่นั้นต้องดูตามแผนก่อน โดยกลุ่มพลังมวลชนจะอยู่ตรงจุดใดก็ได้ แต่ต้องไม่กีดขวางการยุทธ์เพราะมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายกำลัง และต้องมีการฝึกซ้อม และการมาครั้งนี้มาเพื่อเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพล มาขอบคุณเรื่องน้ำท่วม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมมาในนามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในเรื่องแนวทางในการปฏิบัติงานในปี 2556 ของกองกำลังทั้ง 7 กองกำลังก็มาเริ่มในกองกำลังนี้ก่อน เนื่องจากจุดนี้อยู่ในสถานะที่ค่อนข้างอ่อนไหว เพื่อให้เข้าใจในแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนคืออะไร
ส่วนความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชานั้นยังไม่มีอะไร ซึ่งบริเวณหน้าแนวทหารทั้งสองฝ่ายจะอยู่ห่างกันเพียง 5 เมตรเท่านั้น ทหารทั้งสองฝ่ายก็ไปมาหาสู่กันตามปกติ พูดคุยดูแลกันตามสมควร เพราะตนถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกันและทุกกองกำลังก็ทำเช่นเดียวกันทั้งหมด ในฐานะที่เราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า กองทัพก็ใหญ่กว่าเราต้องดูแลเขาด้วย ซึ่งเป็นพันธกิจของกองทัพบกอยู่แล้ว โดยเรื่องพันธกิจ 4 ประการ ประการที่ 4 คือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก ไม่ใช่สร้างเพราะกลัวกัน แต่ที่กลัวคือจะต้องรบกันโดยไม่จำเป็น กำลังพลมีความพร้อมตลอดเวลา มีการฝึกซ้อมโดยตลอด ไม่มีข้อห่วงใยอะไร หากมีสถานการณ์เกิดขึ้นก็มีขั้นตอนสมมติฐานไว้ว่าจะมีการใช้กำลังอย่างไร เคลื่อนย้ายกำลังพลอย่างไร ซึ่งเป็นแผนป้องกันชายแดนอยู่แล้ว
ทั้ง 7 กองกำลังก็ต้องทำแบบเดียวกันทั้งหมด และได้นำนโยบายของรัฐบาลมาแจ้งให้ชัดเจนว่า ให้ทุกคนปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง ให้ปลอดภัย ก็นำความห่วงใยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของทหารทุกนายมาให้รับทราบด้วย
“ส่วนทหารที่อยากรบโดยทำนอกเหนือคำสั่งของผู้บังคับบัญชาขัดต่อนโยบาย ก็ต้องปลดออกไป ซึ่งต้องมีความระมัดระวังความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในทุกมิติ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีการใช้ลำโพงติดตามแนวชายแดนรอบเขาพระวิหาร เพื่อจะได้สอบถามฝ่ายกัมพูชาว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งโน้นเพราะบางครั้งติดต่อกันไม่ได้ มันไม่จำเป็นต้องไปบอกเขาว่า เราทำอะไร เพราะเราไปกลัวเขา นักข่าวลงข่าวแบบนี้ก็เสียหาย เพราะป้องกันเวลาติดต่อกับฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ จะได้ไม่อ้างว่าติดต่อกันไม่ได้ ไม่ใช่ติดลำโพงเพราะต้องการบอกเขาว่าเราจะทำอะไร หากติดต่อกันไม่ได้ก็ต้องรบกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ ตนมีความห่วงใยชาวบ้านที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร และได้พยายามชี้แจงทำความเข้าใจว่าหากเกิดสถานการณ์ชายแดนขึ้นมาจะต้องทำอย่างไร ซึ่งประชาชนแถบนี้มีประสบการณ์อยู่แล้ว ซึ่งเขาอยู่อาศัยมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ซึ่งทหารไทยจะต้องปกป้องรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนชาวไทยอย่างเต็มที่