โฆษก ปชป.กังขาพฤติกรรม “ปึ้ง” พล่านเร่งคุย “ฮอร์ นัมฮง” ก่อนศาลโลกพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเหมือนตกเป็นเบี้ยล่างเขมร แถมพยายามหว่านล้อมให้คนไทยรับคำตัดสิน ห่วง “ปู” เร่งอ่านแถลงการณ์หลังศาลโลกตัดสิน จะผูกมัดไทยหากอ่านผิดอ่านถูกเหมือนที่ผ่านมา สงสัยโยกรื้อ รธน.มาตรา 190 รองรับเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ระบุว่าจะเดินทางไปพบนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ และความมั่นคงของประเทศกัมพูชา เพื่อหาแนวทางร่วมกัน ภายหลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ตัดสิน โดยยอมรับว่า ตนรู้สึกแปลกใจ เพราะสถานการณ์ขณะนี้ ไทยควรเตรียมความพร้อมภายใน แต่ข้อเท็จจริงรัฐบาลกลับแสดงท่าทีเหมือนการผูกมัดตัวเอง โดยพยายามลดการยืดหยุ่นในการทำงาน และย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าต้องปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลก จะให้ความร่วมมือเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างสองประเทศ พฤติกรรมดังกล่าวทำเหมือนไทยตกเป็นเบี้ยล่างกัมพูชา ขอย้ำอีกครั้งว่าทั้ง 4 ทางออก ไม่มีข้อใดที่ประเทศไทยเป็นฝ่ายได้ มีแต่เจ๊ากับเจ๊ง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า การที่รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศของไทย บินไปพบนายฮอร์ นัมฮง ในครั้งนี้ เป็นการไปรับคำพูดอะไรมาปฏิบัติหรือไม่ อย่างไร เพราะฝ่ายกัมพูชาที่สงบนิ่งไร้ท่าทีกังวล แต่ฝ่ายไทยเองที่พล่าน กระโตกกระตากสร้างข่าวรายวัน และพยายามหว่านล้อมให้คนไทย รับคำตัดสินศาลโลก ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะตัดสินออกมาอย่างไร
ส่วนกรณีที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แถลงว่านายกรัฐมนตรีจะอ่านแถลงการณ์ทันทีหลังศาลโลกมีคำตัดสินนั้น นายชวนนท์กล่าวว่า อยากถาม ท่านนายกฯ ทราบแล้วหรือว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะเห็นว่ารัฐบาลไทยไม่ต้องรีบร้อนแสดงท่าทีใดๆ ก็ได้ เพราะคำพูดของนายกรัฐมนตรี ที่อ่านผิดอ่านถูก จะผูกมัดท่าทีของประเทศไทยทันที แทนที่จะมีการประชุมหารือทุกฝ่าย ถึงผลคำพิพากษาที่ศาลจะออกมา และกราบขอร้องนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่าเอาแต่เท่ สนุก สะใจ แต่ต้องระมัดระวังในการดำเนินการยุทธศาสตร์ งานด้านการต่างประเทศ ผลการตัดสินออกมา เรามีเวลาเป็นเดือน ควรหารือเป็นการภายในก่อนว่าจะยอมรับข้อใด หรือไม่ยอมรับข้อใด อย่าเอาประเทศทั้งประเทศ ไปผูกมัดส่งมอบให้ประเทศอื่น โดยที่ประชาชนคนไทยทั้งชาติไม่เห็นด้วย
นายชวนนท์กล่าวต่อว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตว่าการที่รัฐบาลนี้แสดงท่าทีกระเหี้ยนกระหือรือ ที่จะปฏิบัติตามและตอบสนองจนผิดสังเกต สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนว่ารัฐบาลมีเจตนาอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ว่า ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือ บังเอิญสอดคล้องที่มีการแก้ไขมาตรานี้เพราะขณะนี้หากร่างที่แก้ไขอยู่ ขณะนี้ผ่านสภาฯ มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
หลังจากนี้ไป ในการเจรจาเขตแดนหรือพื้นที่ทับซ้อนใดๆ ระหว่างไทย-กัมพูชา ก็ไม่ต้องนำเรื่องเหล่านี้เข้าสู้รัฐสภาอีกต่อไป หากผลการตัดสินออกมาว่า เส้นเขตรอบปราสาทพระวิหาร เป็นไปตามแผนที่กัมพูชา 1 : 200,000 คราวนี้รัฐบาลไทยก็จะไปเจรจากับกัมพูชา รู้อีกทีทางกัมพูชา เอารั้วมาปักในเขตแดน จ.ศรีสะเกษ ตลอดแนวชายแดนแล้ว นี่คือความน่ากลัวของรัฐบาลชุดนี้ ที่ทำงานลับลมคมใน และปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้รับรู้รับทราบข้อมูลต่างๆ
