xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” เรียกร้อง ปชป.ชูธงปฏิรูป ผนึกกำลังสู้ “ทักษิณ” - “จิตตนาถ” มั่นใจคนหลั่งไหลเข้าร่วม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปานเทพ” แนะฝ่ายโค่นรัฐบาลเรียกร้องประชาธิปัตย์ประกาศปฏิรูปการเมือง เพื่อรวมฝ่ายต้าน “แม้ว” ให้เป็นเอกภาพ ชี้ถ้าพรรคเก่าแก่ไม่เอาด้วยเท่ากับทำลายตัวเอง เพราะประชาชนจะก้าวข้ามไปและไม่ได้เกิดอีกเลยในเวทีการเมือง ด้าน “จิตตนาถ” เชื่อขยายแนวร่วมได้เพียบ แม้แต่เสื้อแดง-ไทยเฉย ก็อาจมาร่วมด้วย พร้อมมั่นใจประเทศไทยได้ปฏิรูปแน่ แต่ต้องเชื่อมั่นในธงปฏิรูป และในที่สุดความคิดพันธมิตรฯ-ม็อบอุรุพงษ์ จะหลั่งไหลไปสบทบกันแล้วตกผลึก


วันที่ 25 ต.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย นักวิชาการอิสระ ได้ร่วมในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ทางเอเอสทีวี

โดย นายปานเทพ กล่าวถึงการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ว่า ต้องรู้เขารู้เรารบแล้วจึงจะชนะ วันนี้เขาต้องการล้างความผิดในอดีตด้วยกฎหมายนิรโทษกรรม และกระชับอำนาจในอนาคต ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ตัดอำนาจประชาชนห้ามตรวจสอบในเรื่องของอธิปไตยและผลประโยชน์

เพื่อจะล้างความผิดให้ตัวเองและคนในครอบครัว นายทักษิณ ต้องยอมทรยศคนเสื้อแดง ด้วยการล้างผิดให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพด้วย เพื่อที่สร้างความชอบธรรมในการย้อนไปไกลถึงคดีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในความผิดฐานเจตนาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ประชาชนสูญเสียชีวิตในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ทีนี้เมื่อล้างความผิดให้หมดทุกคนแล้ว จึงจะมีความชอบธรรมโค้งสุดท้ายในการล้างความผิดให้ตัวเอง

มันก็คือบทพิสูจน์ว่านายทักษิณจับมวลชนคนเสื้อแดงเป็นตัวประกัน ชัดเจนที่สุดนี่คือความเลวร้ายของตัวตนที่แท้จริงของฝ่ายทักษิณ และเหตุที่ต้องล้างความผิดย้อนขึ้นไปถึงปี 2547 ทั้งที่พันธมิตรฯเริ่มชุมนุมในปี 2549 ก็เพราะไม่รู้ว่า ป.ป.ช.มีมูลเรื่องทุจริตอะไรอยู่บ้างในช่วงนั้น เลยต้องการล้างให้หมดไปเลยในทีเดียว

ด้วยเหตุผลนี้ตนถือว่ามันเป็นความเลวร้ายของระบอบทักษิณที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คำถามคือทำไมเขาถึงทำเวลาตอนนี้ ทำไมไม่รอวาระอื่นๆ แปลว่าต้องมีเงื่อนไขเวลาเกิดขึ้นที่ไม่สามารถจะรอได้ และนายทักษิณ เป็นพ่อค้า เขาจะบวกลบคุณหารตลอดเวลาว่าทำตอนนี้คุ้มหรือไม่ ถามว่าเขาจะคิดไม่ออกหรือว่าเงิน 2 ล้านล้าน ที่เป็นเงินกู้อยู่ตอนนี้มันคือผลประโยชน์มหาศาล ถ้ามีการโกงกินมันจะเป็นทุนมโหฬารที่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถสู้ในเรื่องของทุนได้อีกตลอดกาล แล้วที่เอาเรื่องทีมีความเสี่ยงมากมาพิจารณาก่อนมันก็มีเหตุผลได้ไม่กี่อย่าง ประการที่หนึ่งเขาเล็งเห็นข้างหน้าว่ามีเวลาที่ต้องทำอะไรบางอย่างอีกไม่นาน เลยต้องเร่ง

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า พอรู้เขาแล้วต้องกลับมาที่รู้เราด้วย ต้องเข้าใจก่อนว่าเวลาคิดจะล้มฝ่ายตรงกันข้ามที่มาจากการเลือกตั้ง 14 ล้านคน ต้องคิดว่าล้มอย่างไรถึงจะมีความยั่งยืน เพราะที่ผ่านมาพอล้มไปได้เขาก็กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม เมื่อพิจารณาถึงตรงนี้ ฝ่ายต่อต้านทักษิณเองได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คืออยากล้มรัฐบาลชุดนี้แล้วใครก็ได้มาเป็นแทน ฉันรับหมด กับกลุ่มที่ต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อประโยชน์คน 65 ล้านคน สองกลุ่มนี้มีความคิดต่างกัน ฝ่ายล้มรัฐบาลมองว่าต้องโค่นทักษิณก่อนถึงจะปฏิรูปได้ และบอกว่าฝั่งปฏิรูปนั้นเพ้อฝัน ไม่คิดเป็นขั้นเป็นตอน

ซึ่งเราต้องพิจารณาให้ดีว่าการล้มรัฐบาลและการปฏิรูปก็ดี มันจะทำโดยประชาชนอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมีการสถาปนาอำนาจรัฐใหม่แทนรัฐบาลชุดเดิม จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งขั้วอำนาจทั้งการปฏิรูปได้ หากเรายังอยู่ในระบบเดิม รัฐบาลมีอำนาจสูงสุดคือยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถ้าเขาชนะได้กลับมาก็ต้องยอมรับ เพราะนี่คือประชาชนเสียงข้างมาก ถ้าเป็นเช่นนั้นคนที่ชูธงโค่นระบอบทักษิณจะเป็นผู้แพ้กระบวนการยุบสภาที่รัฐบาลมีอยู่ในมือทันที บางคนบอกว่ารัฐบาลชุดนี้คะแนนนิยมตกต่ำแล้ว มีโอกาสจะพลิกขั้วได้ ตนขอบอกว่าไม่มีทาง เพราะตราบใดที่รัฐบาลคุมอำนาจรัฐ มีสื่อมวลชน สื่อจัดตั้งตามวิทยุชุมชน มวลชนจัดตั้ง และบวกกับเงินมโหฬารจากโครงการ 2 ล้านล้าน จะเอาอะไรไปสู้ภายใต้ระบบแบบนี้ แล้วยิ่งประชาธิปัตย์ต้องถือว่าไม่สามารถได้ใจประชาชนในชั่วโมงนี้ จากท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ถ้าไม่ปรับปรุง การต่อสู้เช่นนี้จะไม่มีทางได้รับชัยชนะ

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า การเข้าสู่อำนาจของประชาธิปัตย์จะทำได้ คือ เลือกตั้ง ซึ่งตนคาดว่าแพ้ ยกเว้นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงความคิดครั้งใหญ่ แล้วได้ใจคนทั้งประเทศ แต่ถ้าประชาธิปัตย์รู้ตัวว่าแพ้แต่อยากเข้าสู่อำนาจรัฐ ก็จะ อาศัยทหาร หรือศาล เหมือนกับเหตุการณ์ยุบพรรคพลังประชาชนและพลิกขั้วมาที่ประชาธิปัตย์ แต่ตนอยากบอกว่ายุคนี้ทุกคนมีการเรียนรู้ ไม่มีใครโง่ซ้ำที่เดิม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงไม่เป็นกรรมการบริหารพรรค เพราะรู้ว่าถ้ามีการยุบพรรค ตำแหน่งนายกฯ อยู่ ก็ประกาศเลือกตั้งซ่อม แต่ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ก็เลือกตั้งนายกฯ คนใหม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วกลไกทางศาลชั่วโมงนี้ไม่ใช่คำตอบ

ส่วนทหาร พรรคเพื่อไทยก็ส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาเป็นทูตสัมพันธไมตรี ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ ทุ่มงบประมาณให้ ไม่แตะเรื่องการโยกย้าย และสุดท้าย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทหารก็ได้ประโยชน์ด้วย มันเลยเหมือนกับเป็นเนื้อเดียวกัน พอเขาจับฝ่ายทหารได้ก็หมดความเสี่ยงแล้ว

เหลือวิธีสุดท้ายที่ประชาธิปัตย์จะสามารถเข้าสู่อำนาจรัฐได้คือต้องสร้างสถานการณ์ โดยที่ตัวเองเสี่ยงน้อยที่สุด ต้องให้เกิดการจลาจล ทำให้เกิดแรงกดดันที่อาจบีบให้ทหารต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ตนอยากให้จับตาประชาธิปัตย์ เขามองว่าหน้าที่เสี่ยงคดีความและชีวิตเป็นของประชาชน ส่วนหน้าที่เข้าสู่อำนาจรัฐและแสวงหาผลประโยชน์เป็นของประชาธิปัตย์ มีประชาชนที่อยู่ที่อุรุพงษ์ สวนลุมฯ เขารักชาติ เขาห่วงบ้านเมือง ซึ่งพวกเราทั้งหมดต้องให้กำลังใจพวกเขา แต่จะให้ออกไปสู้เป็นรายประเด็นเราไม่ทำ แต่ก็มักมีคนถามว่าทำไมตน หรือนายสนธิ ไม่ไปขึ้นเวทีเพื่อให้คนมาเยอะๆ คือถ้าเราเรียกคนมาเยอะๆ แล้วปล่อยให้คนอื่นไปนำแล้วมีความเสี่ยง โดยที่พวกเราไม่ต้องรับผิดชอบ เราไม่ทำ

ซึ่งตนอยากจะเสนอยุทธวิธี คือว่า 1.เราไม่ควรจะเป็นมวลชนที่เป็นเครื่องมือให้กับขั้วอำนาจที่ไม่คิดการปฏิรูป 2.ประชาธิปัตย์แข็งแรงรองจากพรรคเพื่อไทย ดังนั้นประชาธิปัตย์ ต้องกล้าหาญประกาศว่า ระบบนี้ไม่ใช่ระบบที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พรรคประชาธิปัตย์ขอปฏิรูประบบนี้ให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในอนาคต 3.เพื่อให้ฝ่ายต้านทักษิณมีเอกภาพ ทำไมฝ่ายต้านทักษิณเฉยๆไม่เสียสละประกาศปฏิรูปร่วมกับกลุ่มที่ต้องการปฏิรูป

ประกาศเอาชัดๆ เลย ต่อไปนี้ถ้าประชาธิปัตย์มีอำนาจ จะทำให้คดีทุจริตไม่มีอายุความ และโทษสูงสุดประหารชีวิต กรณีพลังงาน จะเรียกเก็บค่ากองทุนพลังงานจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทัดเทียมกับอุตสาหกรรมทั่วไป ทำให้ลดการขาดทุน และล้างหนี้กองทุนน้ำมันทั้งหมด และทำให้ประชาชนใช้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหมาะสมกับฐานะทางเศรษฐกิจของตัวเอง ประกาศไปเลย

แต่วันนี้ประชาธิปัตย์เฉยๆ ไม่ประกาศเพื่อความเป็นเอกภาพของประชาชน ประชาชนอีกกลุ่มเขาสู้เพื่อการปฏิรูป ทำไมตัวเองไม่เสียสละพูดเรื่องการปฏิรูปเพื่อคน 65 ล้านคนบ้าง เพียงแค่นี้การเคลื่อนไหวของประชาธิปัตย์ก็เป็นเอกภาพแล้ว ดังนั้นยุทธวิธีที่สวนลุมฯ กับอุรุพงษ์ ไม่ใช่จับมือกับประชาธิปัตย์ลอยๆ เพราะอย่างไรเสีย การจับมือแบบไร้หลักการ ว่าจับมือโค่นก่อน จะได้ประชาชนกลุ่มเดียวที่ไม่มากเท่าแม้กระทั่งปี 2551 ถ้าอยากได้ใจคน 65 ล้านคน ต้องขยายแนวร่วมเพื่อทำให้คน 65 ล้านคน เห็นพ้องต้องกันในการเปลี่ยนระบบด้วย ประชาธิปัตย์ต้องนำแล้วก็เป็นผู้การปฏิรูปในฐานะผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐได้มากกว่าคนอื่นๆ ถึงจะเกิดขึ้นจริง

นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า วันนี้มันเป็นการวัดใจว่า จะมีคนออกไปฟรีๆ เพื่อเป็นเหยื่อทางการเมืองในขั้วอำนาจ หรือทุกคนจะเห็นพ้องต้องกัน กดดันหนึ่งขั้วอำนาจให้ปฏิรูปประเทศ ถ้าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าล้มรัฐบาลอย่างเดียวอย่างไรก็ไม่ชนะในชั่วโมงนี้ เพราะมีประชาชนรอการปฏิรูป แต่ถ้ากดดันให้ธงประชาธิปัตย์เป็นธงเดียวในการปฏิรูป ทุกคนจะเป็นเอกภาพ

“อยากจะเชิญชวนทุกท่านให้ประชาชนมาช่วยผลักดันให้ประชาธิปัตย์ ออกมายืนคู่กับประชาชน สู้กับประชาชน นำประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ถึงเวลาตอนนั้น ความผิดในอดีตของประชาธิปัตย์ เชื่อว่าหลายคนพร้อมจะให้อภัย ถ้าเขาปรับปรุงตัว พัฒนาตัว และเป็นความหวังให้กับประชาชนได้ แต่ถ้าประชาชนเห็นพ้องต้องกันแล้วเขาไม่เป็น ก็อย่าไปคิดว่าจะเปลี่ยนประชาธิปัตย์ได้ ให้ก้าวข้ามประชาธิปัตย์หลังจากนั้น ว่าประชาธิปัตย์ไม่ใช่คำตอบ และประชาธิปัตย์จะไม่ได้เกิดอีกเลยในเวทีการเมือง” นายปานเทพ กล่าว

นอกจากนี้ นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเอเอสทีวี ได้โทรศัพท์เข้าในรายการเพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยว่า ยังมีข้อสงสัยสำหรับประชาชนว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เอาด้วย แสงสว่างปลายอุโมงค์มันอยู่ตรงไหน ในมุมมองของตนเรายังไม่ได้พูดถึงประชาชนอีก 2 กลุ่ม คือกลุ่มคนที่เอาทักษิณ กับกลุ่มไทยเฉย หากพรรคประชาธิปัตย์พร้อมจะออกมาปฏิรูปการเมืองพร้อมกับประชาชน พลังใน 2 กลุ่มนี้ อาจจะค่อยๆมองพรรคประชาธิปัตย์ใหม่ เป็นไปได้ที่ประเทศจะเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้น แล้วการปฏิรูปจะเป็นจริงได้

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เอาด้วยในงานนี้ แน่นอนกลุ่มที่ไม่เอาทักษิณอย่างน้อย 70% จะต้องก้าวข้ามพรรคประชาธิปัตย์ได้ หมายความว่า เมื่อประชาชนมีธงนำของตัวเอง ก็ทำให้ประชาชนในส่วนอื่นๆ เขามีความไว้วางใจประชาชนด้วยกันเองมากกว่านักการเมือง อย่างพวกเสื้อแดงและไทยเฉยอาจมองว่านี่คือการปฏิรูปประเทศปลอดจากพรรคการเมือง อย่างแท้จริง เขาจะมีความรู้สึกสบายใจในการเข้าร่วมมากขึ้น โดยที่พรรคประชาธิปัตย์ทำลายตัวเอง

ตนเชื่อว่าประชาชนจะหลั่งไหลเข้าร่วมในการปฏิรูปมากขึ้น ถ้ามีเหตุการณ์บางอย่างเป็นตัวเปลี่ยนแปลง อาจลุกฮือขึ้นมาได้ หรือถ้าไม่ได้ น้ำก็จะค่อยๆ ซึมบ่อทรายขึ้นมา ซึ่งไม่นาน ตนมองว่าวันนี้ประเทศไทยมันล่มสลายอยู่แล้ว เพียงแต่คนอาจยังไม่รู้ตัว เหมือนกับคนตายที่ยังไม่รู้ตัวว่าตาย แต่ถ้ารู้ตัววันไหนจะดิ้นรนไม่อยากตาย รับรองวันนั้นถึงแน่ แต่จะต้องอดทน และต้องเชื่อมั่นในธงปฏิรูป รับรองว่าทั้งพันธมิตรฯที่เดินกันมา ทั้งม็อบอุรุพงษ์ที่ชูธงอยู่ ในที่สุดความคิดของปัญญาชนเหล่านั้นมันจะหลั่งไหลไปสบทบกันแล้วก็ตกผลึกและมีมวลชนอื่นๆเข้ามา ก้าวร่วมไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยในที่สุด ฉะนั้นปลายทางแสงสว่างมันเห็นชัดอยู่แล้ว ประเทศไทยมันจะได้รับการปฏิรูปแน่นอน แต่ตนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเวลาไหน แต่เวลานี้มีสัญญาณแล้ว ขอให้กำลังใจกับทุกคน



คำต่อคำ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ศุกร์ที่ 25 ต.ค. 2556

รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 เวลา 20.00-22.30 น.โดยมี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และ นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย เป็นแขกรับเชิญพิเศษ ดำเนินรายการโดย นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และ นายเติมศักดิ์ จารุปราณ

จินดารัตน์ - สวัสดีค่ะคุณผู้ชม ต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการคุยทุกเรื่องกับสนธินะคะ วันนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศกลับมาที่สถานีกัน เรามีเรื่องสำคัญที่จะต้องชี้แจง ที่จะต้องพูดคุยกัน อะไรที่ค้างคาใจคุณผู้ชมในวันนี้ ความรู้สึกบางอย่างที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อย่างไร อย่าลืมนะคะ วันนี้เราจะเปิดสาย หรือเอสเอ็มเอสเข้ามาฝากคำถามเอาไว้ก็ได้ค่ะ ผู้ตอบคำถามของเราวันนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และพี่ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย รวมไปถึงพิธีกรร่วม คุณเติมศักดิ์ จารุปราณ สวัสดีค่ะ

ผู้ร่วมรายการ - สวัสดีครับ

จินดารัตน์ - ต้องให้พี่ชัช กับ อ.ปานเทพ เล่าว่าทำไมวันนี้ถึงเป็นทั้งสองท่านมาออกรายการ

ชัชวาลย์ - อาจารย์ใหญ่ เป็นหมอ อาจารย์หมอ ต้องให้อาจารย์หมอเป็นคนอธิบาย

เติมศักดิ์ - ผมขอมาร่วมฟังด้วยนะ

ปานเทพ - คือคุณสนธิไม่ค่อยสบาย ต้องไปรักษาตัว หลังจากที่ถูกยิงที่บริเวณศีรษะ และมีอาการบาดเจ็บตั้งแต่คราวนั้นมา ด้านขวาของคุณสนธิมักจะมีปัญหาเรื่องเจ็บขา เดินไม่ค่อยสะดวก ปวดขาบ้าง เป็นประจำ

จินดารัตน์ - ยืนนานๆ ไม่ได้

ปานเทพ - ยืนนานๆ ไม่ค่อยได้ ก็มักจะต้องไปรักษาอยู่เรื่อยๆ ทั้งการบำบัด ทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน การทำทุกวิถีทางซักช่วงหนึ่งก็ต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อรักษาตัว เดี๋ยวก็จะกลับมานะครับ เพราะฉะนั้นบังเอิญว่า ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การเมืองภาคประชาชนที่เหมือนกับรู้สึกสิ้นหวัง บางคนรออะไรบางอย่าง และอยากจะได้ทิศทางที่มีความชัดเจน คุณสนธิมีความคิดว่า ถ้าอย่างงั้นผมกับคุณชัชวาลย์ น่าจะมาช่วยอธิบายให้ท่านผู้ชมเข้าใจ เพราะว่าเราความคิดตรงกัน ระหว่างคุณสนธิ ผม และคุณชัชวาลย์ เห็นพ้องต้องกันถึงปัญหาทั้งหมด และอยากจะอธิบายเชิงเหตุเชิงผลนะครับ โดยเราตัดเรื่องอคติออกไปก่อน ตัดเรื่องอารมณ์ความรู้สึก และมาแสวงหาชัยชนะว่า ถ้าอยากได้ชัยชนะในการต่อสู้ เราควรทำอย่างไร มากกว่าเพียงแค่จะบอกว่า เราไม่อยากเห็น ถ้าเราไม่อยากเห็นชาติล่มจม ทางออกที่ควรจะเตือนควรทำอะไรบ้าง วันนี้ผมคิดว่า ถึงเวลาพอสมควร ถึงแม้ผมจะไม่ใช่โฆษกพันธมิตรฯ อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 แต่ได้ถือว่า ได้นำภารกิจจากแถลงการณ์ฉบับสุดท้าย มาส่งมอบให้กับเอเอสทีวี ซึ่งเราต้องทำหน้าที่ตามอุดมการณ์ และเจตนารมณ์ของแถลงการณ์ฉบับสุดท้าย สำคัญคือท่านผู้ชมส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยได้อ่านทั้งหมดในแถลงการณ์แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า ถึงแม้จะอ่านในแถลงการณ์แล้ว ก็เฝ้ารอดูว่า แล้วทางออกของประเทศจะเป็นอย่างไร ซึ่งเราจะตอบทั้งหมดในวันนี้อย่างเต็มที่ที่สุด

จินดารัตน์ - แอนจะให้เบอร์โทรศัพท์เอาไว้นะคะ ใครไม่สะดวก SMS คำถามเข้ามา ส่งมาที่ 02-629-4433 เราคุยกันแบบมีเหตุผล ท่านผู้ชมติดใจตรงไหนอยากรู้คำตอบอะไร ไม่ต้องเก็บเอาไว้นะคะ เก็บเอาไว้ก็จะเอาไปคิดคนเดียว อาจจะไม่เล่าต่อผิดๆถูกๆ โดยที่ไม่รู้ว่าความคิดของฟากฝั่งอดีตพันธมิตรฯ นั้นคิดอย่างไร ฉะนั้นโทรศัพท์มานะคะ อย่าเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ วันนี้เราจะให้ SMS เข้ามา โดยที่เราจะจดคำถามจาก SMS มาถามเมื่อช่วงท้ายรายการ ทุกคำถามจะพยายามตอบให้ได้หมดภายในวันนี้
ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนี้คุณเติมศักดิ์ แอนขออนุญาตนิดหนึ่งนะคะ หนังสือเล่มนี้ กิน ดื่ม ด่าง ล้างพิษตับ รหัสลับล้างพิษตับ โดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เล่มนี้ก็เป็นหนังสือขายดีในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ผ่านมานะคะ มีวางจำหน่ายแล้วตามร้านหนังสือทั่วไป

ปานเทพ - ผมจะไปแจกลายเซ็นวันพรุ่งนี้ ตั้งแต่เวลา 16.00-18.00 น. ท่านผู้ชมที่สนใจก็ขอเรียนเชิญที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ณ โซนซี และก็บริเวณบูธ M01 ก็คือชั้นใต้ดิน นั้นไม่ใช่ชั้นใต้ดินนะครับ ชั้นล่างที่เป็นชั้นล่างจะเห็นว่า M01 สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ ผมจะไปเซ็นที่นั้นตอน 16.00-18.00 น.ครับ

จินดารัตน์ - คุณเติมศักดิ์ได้เสื้อแล้วยังหรือยังค่ะ

เติมศักดิ์ - ได้แล้วครับ สีดำ

จินดารัตน์ - สีดำนะคะ

เติมศักดิ์ - เห็นว่าจะมีวางจำหน่าย

จินดารัตน์ - วันพรุ่งนี้กับมะรืนนี้ที่เอเอสทีวีช็อป 09.00-17.00 น. มาถามไถ่กันได้ วันนี้เสื้อเพิ่งมาส่งสดๆ ร้อนๆ เลย สำหรับคนที่สั่งก็เดี๋ยวเขาจะทยอยส่งให้นะคะ อันนี้พี่ชัชฝากมานะคะ วันนี้พี่ชัชเจอคุณพ่อน้องโบว์

ชัชวาลย์ - คืออย่างนี้พ่อน้องโบว์เขาจะมีการเขาเรียกโต๊ะจีนเดือนละครั้ง แล้วเขาจะช่วยเอเอสทีวีกันเป็นประจำ ซึ่งขอขอบคุณจริงๆ นะครับ ประจำครับแกจะมาให้กับคุณสนธิ แต่พอดีเมื่อเช้าคุณสนธิไม่อยู่ ปกติอยู่คุณสนธิก็จะเรียกผมไปแล้วก็ให้มาอ่านในรายการตีแสกหน้าคราวนี้ วันนี้ผมไม่ได้เข้ารายการตีแสกหน้ามาเข้าที่นี้ก็เลยขอถือโอกาสว่า พ่อน้องโบวว์มาไว้กับมือผม ผมก็เลยมอบคุณแอนอ่านให้ด้วย

จินดารัตน์ - ค่ะ ก็เป็นกลุ่มพันธมิตรฯ รักชาตินะคะ จัดงานเลี้ยงกันทุกเดือน เดือนนี้เขาจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง ก็คือเมื่อวานนี้จัดโต๊ะจีน 9 โต๊ะ 87 ท่านด้วยกัน ได้เงิน หักค่าอาหารแล้ว ค่าใช้จ่ายแล้ว มีผู้บริจาคเพิ่มเติมอีก เบ็ดเสร็จแล้ว ได้เงินมาร่วมสนับสนุนเอเอสทีวี 96,000 บาท ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
สัปดาห์นี้เป็นข่าวที่เราคนไทยไม่อยากได้ยินนะคะ อ.ปานเทพ เมื่อวานนี้เราก็ได้ยินแถลงการณ์ของโรงพยาบาลจุฬาฯ ออกมา หลายคนวันนี้ไปเฝ้ารับพระศพ ที่วัดบวรฯ แอนอยากให้ ในฐานะที่เราเป็นเหมือนคนใกล้วัด เป็นลูกหลานวัดบวรฯ อยู่ใกล้ๆ เนี่ย อยากให้พี่ปานเทพ กับพี่ชัช พูดถึงสมเด็จญาณฯ นิดหนึ่ง

ชัชวาลย์ - ก่อนอื่น คุณแอนพูดได้ตรงที่สุด เราเป็นลูกหลานของสมเด็จญาณฯ หรือของวัดบวรฯ เพราะว่ามีกิจกรรมอะไร เราก็จะไปจัดที่นั่น แต่สิ่งหนึ่งที่เอเอสทีวีถือเป็นภารกิจ ถ้าสังเกต ทีวีอื่นจะไม่มี เราจะมีการเอาคำสอนของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นคำสอนที่ต้องพูดตรงๆ ว่าลึกซึ้งและง่าย เรียบง่ายมากเลย 100 คำสอนของท่าน บางครั้งผมเป็นคนอ่านเอง ในรายการที่ออกกับลุงจำลอง ลุงจำลองและผมจะมีความรู้สึกว่า สมเด็จญาณฯ ท่านง่ายมากเลย พระองค์ท่านทรงใช้ภาษา ใช้คำง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง อันนี้ก็เป็นอันหนึ่งสมเด็จญาณฯ ท่านง่ายมากเลย พระองค์ทรงท่านใช้ภาษาใช้คำง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง อันนี้ก็เป็นอันหนึ่ง อันที่สองเราเป็นชาวพุทธทำให้เราเห็น และเรารู้ จริงๆ เราก็รู้มานานแล้วว่า ทุกสิ่งมันไม่เที่ยงแม้แต่ท่านชีวิตของทุกคน ถึงวันหนึ่งก็ต้องละจากสังขาร

เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า จะเป็นศาสนาใดก็ตาม เพราะถึงวันเวลาที่ต้องละสังขารก็ละ ไม่ว่าจะเป็นเยซูคริสต์ ซึ่งท่านละไปตอนอายุ 30 กว่าเท่านั้นเอง 33 พระพุทธเจ้า 80 เพราะฉะนั้นจะเห็นเลยว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงให้เราเห็นว่า ทุกสิ่งมันไม่มีจีรังมันถึงวันเวลาที่จะต้องละไป ละวางไป ไม่ว่าจะเป็นหลวงตาบัว ไม่ว่าทุกองค์ พระทุกรูป จะทำให้พวกเราได้ความรู้จากพระองค์ท่าน สมเด็จญาณฯ ไปนะครับ ท่านทรงละสังขารไป เพื่อไปสู่นิพพาน ทำให้เราเห็นได้ว่า ชีวิตอนิจจังไม่เที่ยง

เพราะฉะนั้นทำดี มีโอกาสทำดีรีบทำ เพราะชีวิตมันอยู่ไม่ได้นานจริงๆ ผมเสียใจอย่างมากๆ อาลัยที่พระองค์ท่านได้จากไป แล้วก็คิดว่าสิ่งที่พระองค์ท่านคำสอน ผมยังไปซื้อหลายเล่ม เพื่อเตรียมจะแจก เพราะร้อยคำสอน เป็นสิ่งที่มีค่า คิดว่าควรจะให้กับใคร ให้เขาได้ไปอ่าน

ปานเทพ - พระจริยวัตรที่งดงามมาก และคำเทศน์ คำสอนของพระองค์นั้นได้เกิดคุณูปการกับคนที่ได้ฟังเพราะว่าเป็นธรรมที่คนเข้าถึงง่าย และข้อสำคัญที่สุดคือความผูกพันระหว่างสมเด็จพระสังฆราชฯ พระองค์นี้ถือว่ามีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพราะว่าทรงเป็นพระพี่เลี้ยงให้กับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในยามที่ทรงผนวชในคราวนั้น ดังนั้นเราก็มีความรู้สึกว่าศาสนา และพระมหากษัตริย์ในรัชกาลนี้ มีความผูกพันมาทั้งรัชกาล โดยเฉพาะสมเด็จญาณฯพระองค์นี้ มีความผูกพันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างมากๆ

แน่นอนว่า สถานการณ์ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ เราต้องถือว่าทุกคนมีความอาลัยเหมือนกับได้สูญเสียเสาหลักของผู้นำหรือประมุขในส่วนของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย แต่อีกส่วนถ้าย้อนกลับไปในช่วงที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องงพระราชอำนาจที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระสังฆราชฯ โดยตรง ก็ได้ลุกขึ้นสู้ เพื่อปกป้องพระราชอำนาจในส่วนของการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชฯ ถ้าจำกันได้ในยุคนั้นเลย สะท้อนให้เห็นว่าการต่อสู้ของคุณสนธิ นั้นต้องการรักษาเอาไว้ถึงผู้นำทางศาสนาที่มีความเปี่ยมไปด้วยธรรมะอย่างถึงที่สุด กาลเวลาผ่านมาจนถึงตอนนี้ผมอยากจะหยิบยกกรณีที่น่าสนใจ ที่คุณสิริอัญญาเขียนไว้ วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เรื่องสมเด็จญาณฯ พยานที่มีตัวตนแห่งการตรัสรู้ บางส่วนแล้วนะครับ คุณสิริอัญญา บอกว่า พระนามญาณสังวร ของสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 2 พระองค์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีที่มาจากคำว่าญาณสังวร และความหมายของญาณสังวร อันเป็นภูมิธรรมขั้นสูงและสูงที่สุดในพระพุทธศาสนา และบอกว่า สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ปัจจุบันที่ได้ละสังขารไปแล้วนั้น ทรงอิทธิปาฏิหาริย์ตามภูมิธรรมอันประเสริฐสูง ที่พระองค์บรรลุแล้ว และเคยมีผู้เห็นประจักษ์หลายครั้ง ดังยกตัวอย่าง 3 ตัวอย่างนะครับ

เรื่องที่ 1 เมื่อครั้งที่ยังมีสงครามระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งให้นิมนต์พระมหาเถระทางภาคอีสานหลายรูป ซึ่งเป็นพระป่า ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง แต่มีภูมิธรรมขั้นสูง ด้วยการคมนาคมและการสื่อสารสมัยนั้น ตลอดจนอุปสรรคในด้านความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดต่อนิมนต์พระมหาเถระเหล่านี้ได้เลย พล.ต.อมรรัตน์ จินตกานนท์ นายทหารราชองครักษ์ ได้รับมอบหมายให้ไปทูลสมเด็จพระญาณสังวรฯ ซึ่งขณะนั้นยังคงมีสมณศักดิ์ที่พระศาสนโสภณ ขอให้ช่วยนิมนต์แทน หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้รับคำตอบว่า ได้นิมนต์เรียบร้อยแล้ว ให้ทางสำนักพระราชวังจัดรถไปรับ ณ ที่นัดหมายตามวันและเวลาที่กำหนด ปรากฏว่าการติดต่อนิมนต์ครั้งนั้น ไม่ได้มีการใช้เครื่องมือสื่อสารใดๆ เลย และเป็นการติดต่อนิมนต์ด้วยโทรจิต ซึ่งเป็นการกระทำที่มีอิทธิปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา

เรื่องที่ 2 เมื่อประมาณสัก 20 กว่าปีที่ผ่านมา ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงประชวร สมเด็จพระสังฆราช พร้อมด้วยสมเด็จพระราชาคณะที่ทรงภูมิธรรมขั้นสูง รวม 4 รูป ได้ไปเฝ้า และเจริญสมาธิกระทำสัตยาธิษฐานให้ทรงหายพระประชวร และทรงหายประชวรในพลันเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง อีกเรื่องหนึ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องที่สาม ที่คุณสิริอัญญาได้หยิบยกขึ้นมาก็คือ ในปี พ.ศ.2549 คิดว่าพี่ชัชอาจจะขยายความได้ ในครั้งนั้นเกิดวิกฤตบ้านเมือง และบ้านเมืองเข้าสู่กลียุค และเรื่องสมเด็จพระสังฆราชก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะว่ามีการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่พระสังฆราชแทน โดยที่ไม่มีพระปรมาภิไธย คุณสนธิก็ลุกขึ้นมาสู้ ปรากฏว่าในปี 2549 ในยามที่บ้านเมืองเริ่มกลียุค สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประชวร และมีพระอาการมาก มีกระแสคำร่ำลือว่า จวนเจียนจะสิ้นพระชนม์แล้ว ในยามนั้นได้ยินว่า มีผู้ใกล้ชิดได้เข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวฯ ถึงกาลเมื่อครั้งทรงอาราธนาท่านเจ้าคุณพุทธทาสว่า อาจเพิ่งดับขันธ์ เพื่อเป็นการกราบทูลให้ทรงรำลึกว่า พระเจ้าอยู่หัวนั้นก็ทรงภูมิธรรมอันสูง สามารถอาราธนาพระอริยเจ้าให้เจริญอายุสังขารสืบต่อไปได้ ซึ่งคนนี้พี่ชัชรู้จัก

ได้ยินว่า เมื่อทรงทราบความตามที่มีผู้กราบบังคมทูลแล้ว ก็ทรงนิ่ง หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ก็มีข่าวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วยนะครับ หลังจากทรงเยี่ยมแล้ว เมื่อจะเสด็จพระราชดำเนินกลับ ได้ทรงเสด็จกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ทรงประทับนั่งคุกเข่าใกล้กับ สมเด็จพระญาณสังวร ที่ประทับนอนอยู่ ทรงจับเข่าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช และรับสั่งว่า ยาที่ไหนดีหม่อมฉันก็หามาถวายหมดแล้วหมอที่ไหนดี หม่อมฉันก็หามารักษาหมดแล้ว ต่อไปนี้ขอให้พระอาจารย์ทรงช่วยพระองค์เองด้วย หม่อมฉันขออาราธนาว่า อย่าเพิ่งละสังขาร ขอให้อยู่ช่วยหม่อมฉันก่อน

หลังจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงฟื้น ก็เล่าให้กับผู้ใกล้ชิดฟัง ได้มีการจดคำว่าอะไรบ้าง ว่ายามนั้นพระองค์แทบไม่มีพระสติหลืออยู่แล้ว ครั้นได้สดับพระสุรเสียงถึงพระจิตก็ทรงตั้งจิตรับอาราธนา ด้วยพระเมตตาต่อพระเจ้าอยู่หัวฯ จากนั้นก็ทรงเจริญอิทธิบาท 4 กำหนด อายุ สังขาร ให้ดำรงต่อไป จากวันนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้

กี่ปีแล้วครับ เกือบ 7 ปี แล้วก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองวิกฤตจริงๆ หลังจากนี้เราก็ได้แต่ส่งเสด็จด้วยความอาลัย ผมก็อยากจะเชิญชวนคนไทยทุกคน ว่าอยากให้เราตั้งอยู่ในความรู้สึกที่ถวายความอาลัย ส่งเสด็จพระองค์ท่าน แน่นอนว่าแม้แต่รัฐบาลเองก็ควรหยุดพฤติกรรมที่สร้างความขัดแย้งให้แก่ประชาชนในเวลาตอนนี้ ควรต้องสำนึกถึงการกระทำของตัวเอง เห็นแก่ชาติบ้านเมือง เห็นแก่ความรู้สึกของประชาชน ที่มีความเคารพรักต่อสมเด็จพระสังฆราชฯ พระองค์นี้ ไม่ควรเสนอกฎหมายที่สร้างความขัดแย้งในเวลาแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ว่าจะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างน้อยให้เห็นแก่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศด้วย ที่กำลังไว้อาลัยอยู่ในขณะนี้

ผมเห็นที่อุรุพงษ์ในเวลาตอนนี้เขาก็พร้อมจะทำให้บรรยากาศอยู่ในความสงบเพื่อไว้อาลัย รัฐบาลก็ต้องสำนึกในประเด็นนี้ด้วย แต่ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลไม่สำนึก คนไทยก็สามารถแสดงได้ ด้วยการมาที่กรุงเทพมหานคร มาถวายความไว้อาลัยให้กับสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่กรุงเทพมหานคร ที่วัดบวรฯ มาร่วมกันให้มากๆ นี่ก็จะเป็นพลังใจให้รู้สึกว่าคนไทยมีความเคารพรักและศรัทธาต่อสมเด็จพระสังฆราชฯอย่างไรบ้าง

จินดารัตน์ - ดูเหมือนการเมืองไม่ได้ยี่หระอะไรใดๆเลย

เติมศักดิ์ - ทำตรงข้ามกับที่ อ.ปานเทพ บอกเลยนะ เร่งแก้กฎหมาย ฟอกความผิดให้ตัวเอง

ปานเทพ - เพราะเห็นว่าประชาชนกำลังอยู่ในบรรยากาศการไว้อาลัย นี่ถือว่าเป็น ... ถ้าทำต่อนะครับ ต้องถือว่าเลวบัดซบจริงๆ ถือว่าไม่มีความสำนึกต่อบรรยากาศแบบนี้เลย

เติมศักดิ์ - เหมือนกับคิดว่าเขา ... ขอโทษนะครับ เหมือนกับฉวยโอกาส ใช้โอกาสนี้ ที่คิดว่าทำอะไรก็ได้ แล้วคนอาจจะไม่อยากจะออกมาต่อต้านมาก เพราะว่าอยู่ในบรรยากาศที่อาลัย

ชัชวาลย์ - คืออย่างนี้ คนไม่ดี ไม่มีคำว่าวาระ ทุกเวลาเป็นเวลาของการทำความไม่ดี หาประโยชน์ใส่ตน ก็เหมือนโจร โจรไม่มีวันพระ มันจะปล้นได้ทุกเวลา แต่วันนี้ผมอยากจะเติมคุณปานเทพนิดหนึ่ง คือผมห่วงอยู่อันหนึ่ง วันที่เรา พระสังฆราชผู้ทรงธรรมได้จากเราไป สังฆมณฑลวันนี้ กับอาณาจักร มีปัญหาพอสมควร อาณาจักรมีปัญหาเรื่องคนไม่ดีปกครองบ้านเมือง มันจึงเกิดเรื่องราวที่ไม่ดีมากมายมหาศาล เป็นประวัติศาสตร์ ไม่เคยเกิดคนไทยแตกแยกขนาดนี้ ปัญหามากมายเหลือเกิน เกิดเพราะอาณาจักรมีผู้ปกครองแผ่นดินที่ไม่ดี ไม่ใช่พระราชา พระราชาดี แต่รัฐบาลไม่ดี สังฆมณฑลก็เป็นสิ่งที่น่าห่วง เพราะเมื่อสังฆราช พระองค์ยังทรงอยู่ เราเห็นอยู่ว่าพระองค์ท่านทรงมีจิตที่ดีเหลือเกิน จิตใจดี และทรงธรรม เป็นธรรม เมื่อไม่มีพระองค์ท่าน เราจะเห็นว่าสงฆ์วันนี้ สังฆมณฑลมีสงฆ์ที่ไม่เป็นสงฆ์เยอะมาก ทำมาหากิน ทำเป็นพุทธพาณิชย์กัน หากินกันอุตลุดเลย แล้วเป็นสิ่งที่น่าติดตาม ที่ผมคิดว่าพุทธศาสนิกชนอย่างพวกเรา ต้องเข้าไปช่วยติดตามดูเรื่องหนึ่ง นอกจากอาณาจักรแล้ว ต้องดูสังฆอาณาจักรนี้ด้วย เพราะอะไร เพราะว่าพระที่ไม่เป็นพระ พิธีพระที่ทำมาหากิน ระวัง จะเหมือนอาณาจักร คือจะเป็นใหญ่ ตรงนี้คือจุดที่พวกเราต้องระวังว่า วันนี้ทางด้านชาติ เราก็มีปัญหา ศาสนา อย่าคิดว่าไม่มีปัญหานะ ศาสนามีปัญหามาก ไม่งั้นคนอย่างเณรคำ ไม่งั้นคนอย่างมากมาย พระเหล่านั้นอาศัยพระผู้ใหญ่อยู่ จึงทำชั่วได้ จึงไม่เป็นพระไง ไม่เป็นพระ แต่เป็นคนที่ทำชั่วในวงการสงฆ์ ฉะนั้นผมก็เลยอยากจะฝากพวกเราที่เป็นประชาชนทั้งหลาย ซึ่งเป็นชาวพุทธ จับตาดูทางด้านสงฆ์ด้วย ไม่ใช่ดูแค่อาณาจักรอย่างเดียว

ปานเทพ - ช่วงเวลานี้ก็สำคัญเพราะว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คุณสนธิ พูดอยู่ประจำถึงความสัมพันธ์กัน ทุกส่วนเข้มเเข็ง ชาติก็จะเข้มเเข็งได้ ศาสนาเข้มเเข็ง พระมหากษัตริย์เข้มเเข็ง ชาติจะเข้มเเข็งได้ แต่ปีนี้เราสูญเสียผู้นำทางศาสนา และชาติ คืออธิปไตยของชาติก็กำลังจะเข้าสู่การสูญเสีย หรือความสุ่มเสี่ยงว่าจะสูญเสีย วันที่ 11 พฤศจิกายนเป็นต้นไป มันเป็นภาวะที่บ้านเมืองวิกฤตจริงๆถึงแม้กระทั่งเรื่องอธิปไตยของชาติ ไม่เว้นแม้แต่การทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม หรือกฎกระบวนการทางยุติธรรมทั้งหมด ฉีกกระบวนการ บทลงโทษของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดได้ มันก็คือภาวะวิกฤตที่สุดในยุคหนึ่ง ผมว่าเป็นยุคของกรุงรัตนโกสินทร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ชัชวาลย์ - ขออนุญาตเติมอีกนิดเดียว คุณปานเทพพูดถูก ชาติเรากำลังมีปัญหาเรื่องเขมร ศาสนาเราขาดพระสังฆราชฯ ที่ทรงธรรมไป เราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีพระผู้ใหญ่ทรงธรรมแค่ไหน อันสุดท้าย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วันนี้ถึงขนาดเล่นละครได้ที่ธรรมศาสตร์ ถึงขั้นไม่เคยมีการแสดงละครครั้งไหนที่กล้าพูดคำที่ไม่ควรพูด คำที่รู้เลยว่า พูดเยาะเย้ยสถาบันพระมหากษัตริย์ ในหลวงของเราพระองค์นี้ แต่ที่ธรรมศาสตร์ 14 ตุลาฯ มีการเล่นละคร เจ้าหญิงหมาป่าหรืออะไรนี่ขึ้นมา แล้วรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีนั่งกันอยู่นะ รัฐบาลนี้ผ่านมา 10 วัน การจาบจ้วงการหยาบหยามพระองค์ท่าน รัฐบาลไม่ทำอะไรเลย ฉะนั้นพ่อแม่พี่น้องขณะนี้ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐบาลนี้สั่นคลอนที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ที่สุด ไม่เคยมีครั้งไหนเท่าครั้งนี้

เติมศักดิ์ - ต้องถามต่อแล้วว่าทั้ง 2 ท่าน ประเมินสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้อย่างไร โดยเฉพาะในแง่ของการเมืองในภาวะที่เขากำลังเร่งแก้ไขกฎหมายล้างพิษ ก่อนจะไปถามเรื่องจุดยืนของพวกเรา

ปานเทพ - ผมว่าเราเบรกก่อนไหมครับ

ชัชวาลย์ - จะเอายาว หรือเอาสั้น

ปานเทพ - ถ้ามันจะเชื่อมโยงกันหมดเลย มันจะเชื่องโยงกันอยู่ดี

จินดารัตน์ - แต่ว่าขออนุญาตอ่านแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังก่อนนิดหนึ่งก่อนนะคะ ได้ออกประกาศไว้ในพระราชสำนักว่า เลขาธิการพระราชวังรับบรมราชโองการ ให้ประกาศว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์ เนื่องจากการติดเชื้อในพระกระแสโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม 2556 เวลา 19.30 น.
พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยความเศร้าสลดพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนักจาก 15 วัน เป็น 30 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึงวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน และโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพเอาไว้ ณ พระตำหนักเพ็ชร ณ วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร และถวายพระเกียรติยศ ตามราชประเพณีทุกประการ สำนักพระราชวัง
รัฐบาลเองก็ประกาศให้ไว้ทุกข์ทั้งหมด 30 วัน 1 เดือนเช่นเดียวกัน เดี๋ยวเราพักกันก่อน อย่างที่เรียนไปนะคะคุณผู้ชมวันนี้ คุณผู้ชมสามารถโทรศัพท์เข้ามาแสดงความเห็น ฝากคำถาม แสดงความรู้สึกได้ค่ะ ที่ 02-629-4433 กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน วาทกรรมที่มันเกิดขึ้น พยายามกดดันให้พันธมิตรฯ ออกไปเดินท้องถนนอีกครั้งหนึ่ง ทำไมเราถึงต้องยืนอยู่ตรงนี้ คุณผู้ชมคลางแคลงใจตรงไหนอย่างไร รู้สึกอึดอัดใจอะไร ฝากคำถามไว้ได้นะคะ แล้วการอธิบายความทั้งหมดจะเป็นหน้าที่ของ อ.ปานเทพ และพี่ชัชวาลย์ เดี๋ยวเราพักกันก่อนซักครู่ค่ะ

ช่วงที่ 2

เติมศักดิ์ - เข้าสู่ช่วงที่ 2 คุณทุกเรื่องกับสนธินะครับ อย่างที่คุณแอน จินดารัตน์เกริ่นไว้ในท้ายช่วงที่แล้วว่า วันนี้เราจะเปิดใจจุดยืนของพวกเราต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเรียนถามทั้ง 2 ท่านเลยครับ

ปานเทพ - ผมจะเริ่มต้นอย่างนี้ก่อนนะครับว่า เอาคำถามแรกก่อนที่จะพูดถึงการเมือง มักจะมีคนถามว่าพันธมิตรฯ พวกเราได้ประโยชน์หรือเปล่า จากพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับนี้ ก็เลยไม่ออกไปคัดค้าน ไม่เชิญชวนประชาชนออกไปชุมนุม ไม่รู้จะมีภาพหรือเปล่านะครับ เมื่อปี 2555 วันที่มี พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ โดยที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผู้นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ รัฐสภาไม่สามารถขวางได้นะครับ สามารถเลื่อนมาเป็นวาระที่ 1 เร่งด่วนพิเศษแล้วก็เริ่มพิจารณาทันที แล้วก็ขวางไม่ได้ตอนนั้นพยายามจะป่วนสภาฯ อย่างหนัก พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถขวางได้ วันนั้นสิ่งที่เราทำคือ ถ้าเราคิดหวังจะได้ประโยชน์ตัวเองจาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่ง พล.อ.สนธิ ร่างขึ้นมา เราคงไม่ไปวันนั้น วันประมาณปลายเดือนเมษายนต้นเดือนพฤษภาคม ที่เราไปชุมนุมที่หน้ารัฐสภา ภาพนี้ครับท่านผู้ชุม และสิ่งที่เราทำ เราชุมนุมอยู่ 3 วัน ไปแล้วก็กลับแล้วก็มาต่อ ใน 3 วัน ด้วยยุทธวิธีของเราเอง ในที่สุดฝั่งคุณหมอตุลย์เสื้อหลากสี ก็ไปปิดแยกอีกแยกหนึ่งแล้วก็ไม่สำเร็จ ไม่มีคนมา พวกเราก็ไปจัดการล้อมจนกระทั่งไม่มีใครสามารถเข้าประชุมรัฐสภาได้ ทำให้ในคราวนั้นการประชุมรัฐสภาทั้งหมดต้องยุติและเลื่อนเรื่องอื่นวาระอื่นขึ้นแทน จนกระทั่งปิดสมัยประชุม และก็เป็นเวลาปีกว่าเรื่อง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ไม่สามารถกลับเข้ามาสู่สภา เพราะรู้ว่าเรามีกำลัง และเราเอาจริง ถ้าจำกันได้นะครับ เราทำสำเร็จ และทำจริง ถ้าเราคิดอยากจะได้ประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จริง ไม่มีวันนั้นหรอกครับ เราก็อยู่กับที่ แต่ผมอยากจะชวนท่านผู้ชมคิดสักเล็กน้อยนะครับว่า สมมุติว่าพวกผมตัดสินใจทำแบบนี้อีก คือไปประชุมที่หน้าสภาฯ บรรยากาศแบบนี้เลยนะครับ แล้วก็ไปประชุมในพื้นที่ๆ เขาประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง สิ่งที่จะเกิดขึ้นออกมา คือ ระหว่างการชุมนุม ศาลท่านก็ถอนประกัน นั่นหมายถึงว่า ถ้าเรานำชุมนุมด้วยตัวเราเอง เราก็ไม่สามารถได้รับชัยชนะได้ เพราะว่าเราอาจถูกถอนประกันตัว และไปอยู่ในเรือนจำ ประชาชนก็จะโดดเดี่ยว ไร้ทิศไร้ทางในการนำ อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เราจะไปโดยที่ไม่รับผิดชอบต่อความคาดหวังและผลลัพธ์ไม่ได้เด็ดขาด

ประการที่สอง เอาเป็นว่า สมมุติว่าทำสำเร็จ ขวางรอบนี้ได้สำเร็จ รัฐบาลตัดสินใจไม่เอาวาระนี้เข้าอีกแล้ว เหมือนปี 2555 ทุกประการ คำถามก็คือว่า สมมุติเป็นอย่างนั้นจริง เมื่อบรรลุเป้าหมายในยกนั้น สำเร็จ เราก็ยุติการชุมนุม ศาลท่านก็ต้องสั่งถอนประกันในพื้นที่ พ.ร.บ.ความมั่นคง อีก เราก็สามารถขวางได้ยกนั้นยกเดียว และเราก็ต้องไปอยู่ในเรือนจำ หลังจากนั้นรัฐบาลก็นำมาเสนอใหม่ เหมือนที่กำลังเสนออยู่ตอนนี้ เขาก็จะไม่ต้องมีคนขวางอีก ผมกำลังจะบอกว่า ภายใต้การนำของแกนนำพันธมิตรฯ ถ้าเป็นเรื่องการคัดค้านรายประเด็น เราไม่สามารถคัดค้านได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเราไม่กล้าหาญ เป็นเพราะว่าเงื่อนไขที่ศาลมีคำสั่งอยู่ในขณะนี้ เป็นผลผูกพันจากผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตัดสินใจเอาคดีความทั้งหมดมาให้กับแกนนำพันธมิตรฯ ผู้ปราศรัย แนวร่วม ศิลปิน แม้แต่ประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง ให้ได้รับโทษทางอาญา เกินกว่าความเป็นจริงหลายต่อหลายคดี และบางคนมักจะบอกว่า คนดำเนินคดีความเป็นรัฐบาลคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ไปโทษประชาธิปัตย์ ถ้าผมจะพูดอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ผมอยู่ในเหตุการณ์กับทนายสุวัตร ในการต่อสู้คดีความ ทนายสุวัตรเป็นผู้ยื่นหนังสือไปหลายครั้ง ถ้าจำกันได้ก็คือ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส บอกว่าเราคือผู้ก่อการดี เสร็จแล้วก็มีการกดดันจนกระทั่งต้องเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานชุดสอบสวนใหม่ มาเป็น พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง แล้วก็เพิ่มข้อหา เพิ่มจำนวนคนจาก 36 คน ค่อยๆ เป็น 50-60 มาเป็น 100 คน และทุกครั้งที่เรายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม จะมีเพิ่มข้อหาขึ้นมาเรื่อยๆ ยิ่งเพิ่ม ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เราก็จะมีจำนวนผู้ต้องหาเพิ่มขึ้น จนเป็นร้อยคน ยิ่งกว่าคนเสื้อแดงอีก ถามว่านี่เหรอครับ ที่บอกว่าประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยวข้องด้วย ฉะนั้นบางคนที่พยายามจะแก้ต่างแทนพรรคประชาธิปัตย์ มักจะมองว่าเกิดอะไรขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่ต้องมาโกรธแค้นอะไรหรอกครับ เพราะว่าเวลาเราเอาชาติเป็นตัวตั้ง เราพูดสภาพตามข้อเท็จจริงก่อนว่า มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ที่เราต้องรำลึกไม่ใช่เพราะต้องการให้ท่านผู้ชมเคียดแค้น โกรธแค้นพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมต้องการพูดเพื่อให้รำลึกว่า มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ เพื่อจะได้รู้ว่าใครต้องทำอะไรต่อหลังจากนี้ ไม่ใช่เพื่อความโกรธแค้นนะครับ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง

ทีนี้ เมื่อเรารู้ว่า ถ้าเราเป็นผู้นำในการชุมนุม ไม่ชนะด้วยการเคลื่อนมวลชน เพราะภายใต้เงื่อนไขที่ศาลมีคำสั่ง เราจึงกำหนดว่า ถ้าเราจะเคลื่อนอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นการเคลื่อนรายประเด็นโดยเราย่อมไม่สำเร็จ ถูกไหมครับ ดังนั้นถ้าเราจะเคลื่อนต้องคุ้ม ถ้าพร้อมจะต้องเสี่ยงติดคุกอีกครั้งหนึ่ง เราไม่สามารถคัดค้านรายประเด็นได้แล้ว ก็ขอมาคัดค้านเรื่องเดียวครับ สู้ครั้งเดียวแล้วคุ้ม เปลี่ยนประเทศปฏิรูปประเทศ สิ่งที่คุณสนธิเสนอกับพรรคประชาธิปัตย์ไปก็คือว่า คุณลาออกมา เล่นหมดหน้าตักด้วยกัน เดิมพันหมดหน้าตัก และเราจะเข้าร่วมด้วย เสี่ยงคุกถ้าเปลี่ยนประเทศใหม่ และสู้ร่วมกันนะครับ เราก็มีหวัง มักจะมีคนท้วงบอกว่า โดยเฉพาะขออนุญาตเอ่ยนามนะครับ ท่าน อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งออกบลูสกายกับคุณอัญชลีพร กุสุมภ์ และก็บอกว่า คุณสนธิรับงานจากทักษิณมาหรือเปล่า ทำไมถึงมาให้พรรคประชาธิปัตย์ลาออกทั้งพรรค อย่างนี้เป็นต้นนะครับ

ผมอยากจะเรียนให้ทราบว่า ที่จริงคุณอัญชลีพร กุสุมภ์ กับ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไม่เคยมีคดีความเหมือนกับที่พวกเราโดน อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไม่ขึ้นในภาวะที่สุ่มเสี่ยงในทุกรอบ ไม่เหมือนกับพวกเรานะครับ อ.เจิมศักดิ์ ไม่ได้ขึ้นเวลาเราไปบุกหน้าสภาฯ วันที่เราเข้าทำเนียบก็จะไม่มี อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไม่มีคุณอัญชลีพร กุสุมภ์ ไม่ผิดนะครับที่ทุกคนจะขึ้นเลือกจังหวะที่ตัวเองจะเป็นอย่างไร แต่ผมแค่อยากจะทบทวนว่า แม้กระทั่งการชุมนุมของ เสธ.

อ้าย เราก็ไม่พบ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ขึ้นในภาวะที่สุ่มเสี่ยง หรือที่ข้างทำเนียบรัฐบาล มีแต่บอกประชาชนให้ไปเยอะๆ นะครับ ลักษณะความคิดแบบนี้มันแตกต่างกัน อ.เจิมศักดิ์ จะบอกว่า คุณสนธิรับงานจากทักษิณหรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่ อ.เจิมศักดิ์ อาจจะกล่าวหาได้ แต่ผมเห็นว่าเป็นการกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ถ้าย้อนกลับไปผมยังจำได้ใครครับที่เป็นคนบอกว่าเอเอสทีวีในปี 2555 กลางปี เราจะเปลี่ยนเจ้าของโดยทักษิณ เข้ามาถือหุ้นแทน จำได้ไหมครับ แล้วก็คนรอบข้างคนที่จัดรายการคู่กับ อ.เจิมศักดิ์ ไม่ใช่เหรอครับ แล้วก็บอกว่า อีกไม่นานตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ จะมาจัดรายการที่เอเอสทีวี เชื่อไหมครับหลังจากนั้น เงินสนับสนุนเอเอสทีวีหายไป พวกเราเดือดร้อนกัน คุณสนธิก็เดือดร้อน พนักงานลาออก เพราะไม่มีเงินเดือน นี่คือความอำมหิตในการดำเนินการใส่ร้ายคนอื่น แล้วทำซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง ครั้งนี้ก็อีกเช่นเดียวกัน

ผมจะเรียนให้ทราบอย่างนี้ครับว่า ความคิดของคุณสนธิคือการเดิมพันหมดหน้าตัก ที่บอกพรรคประชาธิปัตย์ลาออกมาแล้วรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว แล้วก็บอกว่าใครจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ความหมายของคุณสนธิคือ ถ้าเดิมพันหมดหน้าตัก ไม่มีคำว่าการประชุมรัฐสภา เข้าใจใช่ไหมครับ มันคนละเรื่องกับเราไปพึ่งศาลรัฐธรรมนูญ 8-9 คน ไม่ต้อง เอาประชาชนจำนวนมหาประชาชนออกมาจนกระทั่งม่สามารถเกิดการประชุม แม้กระทั่งการประชุมรัฐสภา หรือทำเนียบรัฐบาล แล้วมันจะไปพึ่งใครครับ ไปพึ่งคน 9 คน ความหมายของคุณสนธิคือเดิมพันหมดหน้าตักแบบนี้ แล้วไม่ใช่ออกมาเฉยๆเพื่อไล่รัฐบาล แล้วประชาธิปัตย์ก็เดินทางนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ อย่างนี้คุณสนธิบอกว่าคุ้ม ถ้าไม่คุ้ม คุณสนธิและแกนนำและพวกเราที่มีคดีความทั้งหมดก็เปรียบเสมือนพวกเรามีลูกธนูดอกสุดท้าย ยิงได้ครั้งเดียว ผมเปรียบเสมือนนะครับ ว่าเราเหมือนกับลูกธนูดอกสุดท้าย ยิงครั้งเดียวต้องแม่นยำ ถูกเป้า แล้วต้องคุ้มด้วย ยิงแล้วทุกอย่างจบ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างคุ้มค่าจริง ซึ่งในที่สุด พรรคประชาธิปัตย์ก็ปฏิเสธ โดยอ้างบอกว่า แล้วใครจะสู้ในสภา ซึ่งวันนี้ก็พิสูจน์ว่าการสู้ในสภาไม่เคยได้รับชัยชนะ ต่อให้พูดเก่ง ล่าสุดที่วันนี้ที่คุณเติมศักดิ์เอามาออกอากาศในเรื่องของกรรมาธิการ มันก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ เขาก็ยกเสียงข้างมากให้คุณอย่างมากได้แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตได้

เติมศักดิ์ - ก็ได้แค่แสดงบทพระเอก

ปานเทพ - เพราะฉะนั้นแล้ว ยิ่งเดินหน้าเข้าสู่วาระที่ 1 วาระที่ 2 และวาระที่ 3 การมีประชาธิปัตย์อยู่ ก็เปรียบเสมือนกลไกทางรัฐสภา ประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายค้าน ได้เติมเต็มความสมบูรณ์ของระบบรัฐสภาที่ผมเรียกว่าเป็นระบบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตามครรลองของรูปแบบที่มันเป็น

จินดารัตน์ - คือไปสร้างความชอบธรรมให้เขา

ปานเทพ - ใช่ ให้สมบูรณมากขึ้น ยิ่งถ้าโหวตวาระ 3 แล้วคุณจะไปประท้วงทีหลังได้ยังไง ในเมื่อคุณยอมรับในกติกาแบบนี้ และเป็นเสียงข้างน้อย ลงมติแล้วก็แพ้ การยอมรับในกลไกแบบนี้เท่ากับเป็นการยอมรับขั้นตอนและกลไกอย่างที่เกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถหยุดยั้งได้ อาจจะมีคนบอกว่า แล้วถ้าลาออกตามรัฐธรรมนูญ ต้องอาศัย 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด เพื่อไปยื่นต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่า อันนี้ขัดรัฐธรรมนูญ อันนั้นขัดรัฐธรรมนูญ ประชาธิปัตย์ไม่ใช่ปฏิเสธข้อเสนอของคุณสนธิครับ สิ่งที่ควรทำที่สุด คำนวณสิครับว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกรัฐสภาน่ะ เท่าไหร่ 66 คนครับ 66 คนเอง สมาชิกวุฒิสภามีอย่างน้อย 40 คน รวมพลังกันได้ ทำไมครับ ประชาธิปัตย์ต้องอยู่เป็นร้อยๆ คน 20 คน หรือเอาอย่างง่ายๆ เลยครับ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลาออกทั้งหมด ให้เลื่อนขึ้นมา แล้วทุกคนไม่เข้าสู่การประชุมสภา สิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นได้ ก็คือคนจำนวนหนึ่งเสียสละว่าฉันจะไม่กลับไปพลิกขั้วอำนาจอีก จะสู้กับประชาชนจนกว่าจะเปลี่ยนระบบ ย้ำนะครับ ไม่ใช่เปลี่ยนขั้วอำนาจ จนกว่าจะเปลี่ยนระบบสำเร็จ นั่นหมายถึงไม่มีการประชุมสภาเกิดขึ้น ความหมายของคุณสนธิ หมายถึงอย่างนี้ แต่เมื่อประชาธิปัตย์ไม่ซื้อความคิดนี้ ก็เป็นสิทธิของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เขาอาจจะมีความคิด สู้ 2 ขา ในสภา-นอกสภา แต่เท่าที่ผมสังเกตอยู่ในขณะนี้ ผมก็บอกตามตรงครับว่า ผมมาใคร่ครวญดูแล้ว ว่าสถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้ เราควรจะทำอะไรบ้าง ผมก็เห็นว่า หลักยุทธวิธีของซุนวู เขาก็ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน ในตำราพิชัยสงคราม ประการที่หนึ่ง ต้องรู้เขารู้เรา จึงจะรบทั้งร้อยครั้งแล้วจึงจะชนะทั้งร้อยครั้ง ถ้ารู้เฉพาะตัวเขาแต่ไม่ประเมินเราหรือไม่รู้เราจริงแพ้ หรือรู้แต่ตัวเราแต่ไม่รู้เขาก็แพ้ นี่ข้อแรกเลยนะครับ ข้อที่สองที่ผมคิดว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง หลักพิชัยสงครามที่มีความสำคัญมากเลย ผมเชื่ออยู่เสมอครับว่า สมรภูมิใด ถ้าเราคิดว่า ไปรบแล้วไม่ชนะ ไม่รบ ถ้าจะรบ ต้องชนะ นี่ย้ำนะครับ และผู้พ่ายแพ้ก็คือคนที่รบเพื่อแสวงหาแนวทางชนะ ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะบอกว่าที่ผ่านมาการชุมนุมของพันธมิตรฯ ทุกรอบ เหมือนว่ายน้ำในมหาสุมทรไม่เห็นฝั่ง ก็เหมือนกับเป็นการสู้ไปแสวงหาชัยชนะไป ไม่จริงนะครับ พวกเรา วันที่นับหนึ่งชุมนุม เราเห็นแล้วว่าเราจะจบอย่างไร เห็นวันสุดท้ายเลยนะครับ ผมยกตัวอย่างเช่น วันชุมนุม 193 วัน ชัดที่สุดเลย คือวันที่เรารู้เลยว่า คุณยงยุทธ ติยะไพรัช ทุจริตในการเลือกตั้ง เรารู้เลยว่า กรณีนี้อย่างไรก็ต้องยุบพรรคตามรัฐธรรมนูญ เรารู้จุดจบเลยว่า ไกลสุดไม่มีการรัฐประหารไม่มีอะไรก็ตาม จุดจบมันอยู่ตรงนั้น มันอาจจะมีเหตุการณ์ที่สำเร็จก่อนหน้านั้นก็ถือว่าเป็นแจ็กพ็อต แต่ถ้าถึงวันนั้นเรารู้ชัยชนะว่าอยู่ตรงนั้น

เติมศักดิ์ - ถ้าเราไม่อยู่อาจจะมีตัวแปรที่ไม่มีพลังประชาชน

ปานเทพ - อาจจะไม่สำเร็จ เช่น ตุลาการไม่มีความกล้าหาญพอเพราะโดนแรงกดดันจากอีกฟากเป็นต้น คือ เรารู้เลยว่า เราอยู่จุดนี้ไปไกลที่สุด ถ้าไม่มีชัยชนะระหว่างทาง อย่างน้อยจุดนี้ได้รับชัยชนะแน่ๆ คือรบร้อยครั้งต้องเห็นทางชัยชนะ ถ้าไม่เห็นไม่รบ ประการถัดมาคือว่า ปี 2554 ซึ่งพี่ชัชก็อยู่ด้วย เวลาเราชุมนุม 158 วัน ในเรื่องของปราสาทพระวิหารนะครับ ถามว่าเห็นชัยชนะไหม เห็นเลยครับ คือวันประชุมมรดกโลกไม่ออกซ้ายก็ออกขวา คือถ้าประชาธิปัตย์เพลี่ยงพล้ำไปรับมติคณะกรรมการมรดกโลก การโหวตโนจะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลทันที แต่ถ้าประชาธิปัตย์ถอยออกมาตามแนวทางของ คุณสุวิทย์ คุณกิตติ โอกาสโหวตโนจะน้อยลง มันเป็นดุลอำนาจต่อรอง แต่ถามว่าเห็นชัยชนะไหม เห็นตามเงื่อนไขเวลาว่า หมดยกเมื่อไหร่ เป่านกหวีดว่า หมดเวลาแล้วเมื่อไหร่รู้เรื่องเงื่อนไขเวลาจนครบ ไม่ใช่สู้แบบไร้ทิศทาง หรือสู้ไปเรื่อยโดยที่ไม่รู้ว่าทิศทางไปทางไหน ถ้าจะเปรียบการว่ายน้ำในพระมหาชนก มักจะมีคนเปรียบเทียบบอกว่า ก็สู้ไปก่อน เพื่อเอาความเพียรนำหน้า แต่ผมเรียนนะครับ แม้กระทั่งอาศัยความเพียรในการว่ายน้ำก็ตาม ต้องรู้ทิศว่าจะไปไหน พระอาทิตย์อยู่ฝั่งนี้

ชัชวาลย์ - ไม่ใช่ว่ายไปเรื่อย

ปานเทพ - ไม่ใช่ว่ายวนไปเรื่อย ว่ายไปอย่างไรก็ต้องตายครับ คือถ้าวนอยู่ที่เดิม ต้องรู้ทิศว่าจะไปทิศไหน เพื่อจะเห็นฝั่ง แต่ถ้าไม่ว่ายมั่ว หรือว่ายไม่ถูกทางไม่มีทางได้รับชัยชนะ ที่ผมพยายามทบทวนให้ฟังก่อน เพื่อให้รู้ว่า การตัดสินใจของเรา อยู่บนพื้นฐานหลักคิดอะไรบ้างนะครับ เมื่อเราเป็นผู้นำมวลชนไม่ได้ในการต่อสู้รายประเด็น เพราะว่าเราไม่ได้รับชัยชนะอย่างที่ผมอธิบายให้ฟัง เราก็ต้องยุติบทบาท เพื่อหลายเหตุผลนะครับ ประการที่หนึ่ง เวลาพันธมิตรฯ ยุติบทบาท สังคมเขาจะเริ่มมีความคิดช็อกขึ้นมาทันทีเลยว่า เมื่อก่อนไม่ใช่หน้าที่พวกเรา เป็นหน้าที่ของพันธมิตรฯ ประชาชนกลุ่มนี้สู้มา 8 ปีแล้ว สู้แล้วก็ชนะทุกรอบ ทั้งๆ ที่เราโดนพันธนาการตั้งแต่สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ต่อเนื่องกันมา เราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว การดำรงอยู่ของเราเพื่อรอสู้คุ้มค่าอย่างเดียว ทำให้การต่อสู้รายประเด็นไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป ดังนั้นการยุติบทบาท เพื่อทำให้ประชาชนอย่าไปพึ่งหวังกับมติแกนนำพันธมิตรฯ ที่ไม่สามารถรบรายประเด็นให้ได้รับชัยชนะได้อีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นสังคมจะได้ตื่นรู้ว่า ไม่ใช่ปล่อยเป็นหน้าที่ของพันธมิตรฯ อย่างเดียว เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ทุกคนนะครับผมย้ำ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนในการปกป้องชาติบ้านเมือง เป็นหน้าที่ของวงการตุลาการ ศาล ทหาร ข้าราชการ และคนทุกคนในประเทศไทย ที่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองในการปกป้องบ้านเมือง ไม่ใช่ฝากทุกอย่างแบกอยู่บนบ่าของคนที่ชื่อแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีพันธนาการ ไม่ได้ ข้อแรกนะครับ ซึ่งมันก็ได้ผลนะครับ เพราะว่ามันก็เกิดกลุ่มการเคลื่อนไหวที่หลากหลายกลุ่ม ตามที่คุณพิภพ ธงไชย เคยอธิบาย แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ตามที่เราวางแผนเอาไว้ ทุกประการนะครับ

ประการที่สอง ก็คือว่า การยุติบทบาทของพันธมิตรฯ มันทำให้เกิดแรงกระเพื่อมที่มีความสำคัญถัดมา ก็คือ รัฐบาลจะมีความรู้สึกว่ากลุ่มที่มีพลังกล้าแข็งยุติบทบาทไป ดังนั้นตัวเองจะฮึกเหิม ห้าวหาญ และลุแก่อำนาจ

เติมศักดิ์ - ย่ามใจ

ปานเทพ - ย่ามใจ เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ถูกมั้ยครับ จะว่าไปแล้ว เกิดคลื่นมวลชนกลุ่มใหม่ รัฐบาลก็เลวร้ายขึ้น ผมอยากจะบอกว่า การยุติบทบาทของพันธมิตรฯ ก็คือการเร่งปฏิกิริยาให้สถานการณ์สุกงอมเร็วขึ้น

เติมศักดิ์ - เหมือนขุดหลุมให้เขาเข้ามาตกในหลุมนี้

ปานเทพ - เขาต้องเป็นอยู่แล้วครับ เพราะเขาคิดว่าพลังกลุ่มไหนก็ไม่มี ดังนั้นเขาก็จะลุแก่อำนาจมากขึ้น ซึ่งเราอยู่ต่อไป เราก็ทำอะไรไม่ได้นะครับ การต่อสู้รายประเด็น การที่เขาลุแก่อำนาจ แล้วก็มีความฮึกเหิม แล้วก็เลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าเดิม มันจะทำให้ประชาชนอึดอัด เหมือนตอนนี้ อึดอัดอย่างมาก ทนไม่ไหวไปทุกหย่อมหญ้า แล้วเราก็มีความคาดหวังว่า จะมีประชาชนที่แข็งแรง เกิดการนำของขบวนการกลุ่มใหม่เกิดขึ้น แล้วก็เกิดการเรียนรู้ เพราะในที่สุด เมื่อมาถึงปี 2555-56 แล้ว เราผ่านบทเรียนในปี 2549 ในการทำรัฐประหาร รัฐบาลล้มเหลว เข้ามาถึงก็ปล่อยปละละเลย แอบจับมือฝ่ายทักษิณบ้าง ไม่เอื้ออำนวยกับ คตส.บ้าง ทำแบบกั๊ก แล้วก็ไม่เกิดการปฏิรูปประเทศให้กับประชาชน มีทุจริตคอร์รัปชันด้วย ผ่านไปแล้ว เราลองมาแล้วนะครับ พล.อ.สนธิ ยิ่งแล้วใหญ่ กลับไปกลับมา วันนี้กลายเป็นทาสรับใช้ทักษิณไปแล้ว ในที่สุด โอกาสสำคัญที่เป็นโอกาสทองมันหลุดลอยไปแล้ว ประชาชนจะไม่คิดแบบนี้อีก ไม่มีใครทำซ้ำในสิ่งที่เราให้โอกาสแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ โอกาสมีครั้งเดียว โอกาสทองมาแล้วหลุดลอยไปแล้ว ช่วงเวลาที่ 2 ที่มีความสำคัญมาก็คือว่าหลังจากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นแล้วก็เกิดการเลือกตั้งใหม่ ต้องถือว่ารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ พลาดที่สุดก็คือการกำหนดระยะเวลาว่าฉันจะอยู่ 1 ปี ข้าราชการทุกคนใส่เกียร์ว่างหมด แล้วนี้คือความพลาดอย่างแรงที่สุดโอกาสปฏิรูปก็ไม่มี ไม่มีใครผลักดัน ไม่มีใครเคลื่อนไหว รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ก็กลับมาตามคำทำนายของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ทุกประการ ในนามพรรคพลังประชาชน เราก็ถือว่าเราให้โอกาสนอมินีของคุณทักษิณว่าถ้าเขาเป็นายกฯ อาจเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีบทบาทในตัวของตัวเองมากขึ้นในที่สุดมันก็ล้มเหลว ก็มีทุจริตคอร์รัปชัน แล้วโกงบ้านกินเมือง อธิปไตยของชาติมีปัญหา ในที่สุุดเราก็ชุมนุมให้โอกาสอีกจนกระทั่งพลิกขั่วเป็นรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ทุจริตคอร์รัปชัน ถ้าจดก็ยาวเป็นหน้ากระดาษนะครับ เยอะมาก ถ้าจำกันไม่ได้การต่อสัญญาช่อง 3 ขาดความโปร่งใส ต่อไปแล้วนะครับ ผมประโยชน์อย่างมโหฬาร ธุรกิจคมนาคมเยอะแยะ ไปจนถึงโครงการไทยเข้มแข็ง ภาษีบุหรี่ เป็นหลายหมื่นล้านลืมไปแล้วหรือครับว่ามันเกิดเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น

ชัชวาลย์ - ชายแดนอีก

ปานเทพ - ชายแดนอีก ไทย-กัมพูชา

ชัชวาลย์ - คุณวีระโดนจับอีก

ปานเทพ - เรื่องคุณวีระ คุณราตรีถูกจับอีก ถามว่าเราต่อสู้มาเพื่อได้สิ่งนี้ใช่หรอกหรือ ผมก็บอกว่ามันไม่ใช่ โอกาสทองครั้งที่สองของฝ่าย

ชัชวาลย์ - แล้วเขาก็ไม่จัดการระบอบทักษิณด้วยนะ

ปานเทพ - เขาไม่จัดการ

ชัชวาลย์ - ไปประกันตัวให้อีก

ปานเทพ - ความเลวร้ายที่สุดก็คือว่า เล่นงานพันธมิตรฯ แต่ปล่อยคนเสื้อแดง ไปประกันตัวคนเสื้อแดง ถามว่าทำอย่างนี้ทำไมรู้ไหมครับ ลึกๆ อยากใช้แกนนำคนเสื้อแดงมาใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ให้ทุกคนหวาดกลัว ถ้าไม่เลือกเรา เผาเมืองแน่ ประมาณนี้นะครับ เพราะฉะนั้นเขามองเป็นการเมือง เขาไม่ได้มองว่า อะไรเป็นผลประโยชน์อย่างแท้จริงต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งผมเสียดายมากในจังหวะนั้น

ชัชวาลย์ - 2 ปีกว่านะ

ปานเทพ - เราขอพูดกันแบบตรงไปตรงมาที่สุด และผมคิดว่า ถ้าเราไม่พูดตรงไปมา เราจะหาทางออกไม่ได้ ซึ่งท่านผู้ชมที่ชื่นชอบประชาธิปัตย์ขอให้อดทนฟังความจริงนี้ เพื่อเราจะแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การหาคำตอบว่า เราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ทุกคนเห็นปัญหาวิกฤตทั้งหมดตอนนี้นะครับว่า ชาติจะล่มจมอยู่แล้วต้องทำอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อเราให้โอกาสทองคำ 2 ครั้งที่ผ่านมาของฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ แล้วมันล้มเหลวนี่นะครับ

ชัชวาลย์ - แล้วเราเป็นคนต่อสู้ ขับไล่เสี่ยงชีวิตเสี่ยงตายเรานี่แหละ

ปานเทพ - อย่าว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ตอนนี้เลยนะครับ รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ใช้กับพวกเรา พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อย่าบอกนะครับว่า ฝั่งรัฐบาลชุดนี้ปิดกั้นไม่ให้ส้วมเข้า รัฐบาลชุดคุณอภิสิทธิ์ก็พยายามทุบทำลายส้วมเรา คือผมอยากจะบอกว่า มันไม่ต่างกัน

จินดารัตน์ - มันพอกัน

ปานเทพ - ไม่ต่างกันนะครับ ในบริบทของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเวลามีอำนาจ เพียงแต่ว่าจะหน้าด้านมากกว่ากันแค่ไหนเท่านั้นเอง จะเลวร้ายมากขนาดไหนแค่นั้นเอง

เติมศักดิ์ - คือเหมือนว่าในรอบ 6-7 ปีที่ผ่านมา ที่เราสู้กับอำนาจรัฐที่ฉ้อฉล เพียงแต่เปลี่ยนหน้า

ปานเทพ - ซึ่งแปลว่าเราทดลองครบแล้ว ถูกไหมครับ ไม่ว่าทักษิณ รัฐประหาร หุ่นเชิดทักษิณ พลิกขั้วมาจนถึงญาติคุณทักษิณเอง ก็คือคุณยิ่งลักษณ์นะครับ เราทดลองหมดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่คนมีความรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา บังคับเราบอกว่า ต้องกลับไปโมเดลเดิมที่เราเคยทำมา และมันไม่ประสบความสำเร็จ มันเป็นไปไม่ได้ครับ ด้วยเหตุผลนี้ประชาชนวันนี้ ผมอยากจะบอกว่า ต้องรู้เขาและรู้เรา เอารู้เขาก่อนนะ เดี๋ยวค่อยรู้เรา รู้เขาฝ่ายทักษิณวันนี้ ต้องการที่สุดเลย ผมสรุปเลยก็คือ ล้างความผิดในอดีต กระชับอำนาจในอนาคต กระชับอำนาจชัดเจนแล้ว แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ตัดอำนาจประชาชน คือเป็นประชาธิปไตยบ้าอะไร ตัดอำนาจประชาชนห้ามตรวจสอบในเรื่องของอธิปไตย ผลประโยชน์ และฝ่ายคนเสื้อแดงที่บอกว่า รักประชาธิปไตย ทนได้อย่างไรครับ นี่คือความเลวร้ายในเรื่องของการแอบอ้างเรื่องประชาธิปไตยนะครับ
แล้วประการถัดมาก็คือว่า อยากจะล้างความผิดในอดีต ผมเคยพูดกับคุณเติมศักดิ์ในรายการคนเคาะข่าวหลายครั้งบอกว่า ทักษิณจะยอมไม่ได้หรอกในการปล่อยมวลชนคนเสื้อแดงไปเดี่ยวๆ

เติมศักดิ์ - ถ้าไม่พ่วงเขาด้วย

ปานเทพ - ผมเคยพูดย่ำบ่อยจำได้ไหมครับ เพียงแต่ว่าตอนนั้นจำยอมอย่างยิ่ง เพราะว่าคลิปถั่งเช่ามันหลุดออกมา ทำให้ถูกจับได้ว่า กำลังจับมือกับทหาร

ชัชวาลย์ - จะทำเรื่องนี้

ปานเทพ - จะทำเรื่องนี้ แล้วทำให้เขาต้อง มวลชนคนเสื้อแดงก็เลยรู้สึกไม่พอใจกับฝ่ายทักษิณ ก็เราต้องยอมจำนนเอาร่างของคุณวรชัยเข้ามา โอเคนะครับ

เติมศักดิ์ - เลยเป็นที่มาว่าทำไมเอาร่างวรชัยเข้าไปก่อน

ปานเทพ - แต่ผมก็เคยพูดในรายการผมด้วย

ชัชวาลย์ - ที่คุยตอนนั้นแล้วคลิปถั่งเช่าหลุด วันนี้เขาทำตามนั้นนะ คือประชุมความมั่นคง และความมั่นคงไม่ปฏิเสธเรื่องที่จะนิรโทษกรรม

ปานเทพ - ที่นี้การนิรโทษกรรม ผมอยากจะบอกว่า แน่นอนมันไม่ใช่เซ็ทซีโร่ คือเซ็ทศูนย์แน่ เพราะว่าเล่นล้างความผิดในอดีตไม่พอ เตรียมกระชับอำนาจทุกอย่างในอนาคต ที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ ไม่ว่าเปลี่ยนหน้า ส.ว. ล้างกลไกมาตรา 190 ไม่ให้มีการตรวจสอบอะไรได้เลย และก็ล้างความผิดตัวเองในอดีตทั้งหมด นี่ไม่ใช่เซ็ทศูนย์ครับ

ชัชวาลย์ - เตรียมจะกลับมาใหญ่

ปานเทพ - เตรียมจะกลับมาใหญ่

จินดารัตน์ - รวมไปถึงความผิดในอนาคตที่กำลังจะเกิดด้วย

ปานเทพ - แต่ผมจะบอกว่า การกระทำเช่นนี้ ทำให้เกิดความระส่ำระส่ายในหมู่ชนคนเสื้อแดงสูงมาก ผมเป็นคนดูทีวีคนเสื้อแดงนะครับ สลับดูบลูสกาย สลับทีนิวส์ แม้แต่ฮอตทีวีของคุณลีน่า จัง ผมก็ดูเลยนะครับ ที่ผมเห็นในเวลาตอนนี้คือคนเสื้อ แดงจำนวนไม่น้อย ไม่พอใจคุณทักษิณที่ไปยกโทษความผิดนิรโทษกรรมให้กับคุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพ เหมือนเรา ไม่มีทางพอใจที่ไปยกเว้นความผิดให้กับสมชาย วงศ์สวัสดิ์

ชัชวาลย์ - แล้วก็คุณ ผบ.ตร. คุณอภิสิทธิ์ ก็ไปช่วยเขาด้วย 7 ตุลา

ปานเทพ - ผมถามว่า กรณีเช่นนี้ถามว่าเราจะไว้ใจใคร หรือให้ย้อนกลับไปอีกนิดหนึ่งว่า แม้แต่กรณีคุณสนธิที่ถูกยิงที่ศีรษะ 200 นัด ตอนนี้ต้องรักษาตัวอยู่ใครครับรับปากว่าในปีนี้จะจับให้ได้ แล้วใครครับ เห็นรายงานแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่สานต่อ จบไม่มีอะไรเกิดขึ้น สามารถยิงกันกลางถนน แล้วก็บอกว่าเฉยๆไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมว่านี่คือสิ่งที่เราต้องย้อนรำลึกเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ทีนี้เมื่อเรามาถึงรู้เขาก่อน วันนี้ฝ่ายคนเสื้อแเดงไม่พอใจฝ่ายคุณทักษิณ เพราะมีความรู้สึกว่าถูกทรยศ ปลุกระดมมาตลอดว่าอภิสิทธิ์ สุเทพ ทหารฆ่าประชาชน มาวันนี้ออกกฎหมายล้างความผิดให้กับสุเทพ อภิสิทธิ์ ถามว่าทำไม เพราะว่าการล้างความผิดให้พวกตัวเองอย่างเดียวมันไม่มีความชอบธรรม การจะล้างความผิดให้มวลชนคนเสื้อแดงเลยบังคับล้างความผิดให้กับพันธมิตรฯ ผมย้ำว่าบังคับล้างความผิดให้กับพันธมิตรฯ เพราะเราไม่เคยขอแล้วเราก็ต่อต้านด้วย แต่ก็บังคับ เห็นเรามีพันธนาการอยู่จับบังคับเลย สอง อยากจะล้างความผิดให้กับคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะทำไม่ได้เลยถ้าไม่ล้างความผิดให้กับคุณอภิสิทธิ์ เพราะคุณสุเทพ คุณอภิสิทธิ์ มาคั่นเวลา คือเกิดหลังก่อน ดังนั้นถ้าไม่ย้อนไปไกลถึงคุณสมชาย มันก็ไม่ได้ผล ก็เลยต้องล้างความผิดให้สุเทพ อภิสิทธิ์ไปด้วยเพื่อจะหาความชอบธรรมในการล้างความผิดให้คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์

เติมศักดิ์ - จะได้ไม่ขัดมาตรา 30 ความเสมอภาค

ปานเทพ - ไปจนถึงต้องยอมทรยศคนเสื้อแดงเพื่อครอบครัวและตัวเอง นี่คือเหตุผลที่ทำไมคุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จึงเป็นประธานในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เพราะสามีตัวเองกำลังจะได้ประโยชน์จากที่ติด ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดฐานเจตนาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ประชาชนสูญเสียชีวิตในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นี่คือการยอมทรยศคนเสื้อแดงเพื่อคนในครอบครัว ผมถึงบอกว่า ขอร้องเถอะครับ มวลชนคนเสื้อแดง แกนนำทั้งหลายอย่ามาเล่นละครกันเลยครับ ผมยกมือแล้วแพ้ในกรรมาธิการสภา ถ้าคุณไม่เห็นด้วยจริง ต้องลาออกจาก ส.ส.ออกจากพรรคเพื่อไทย ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างจากสมรู้ร่วมคิดกันเล่นละครหลอกตบตามวลชนคนเสื้อแดงอีกเช่นเดียวกัน

ทีนี้ทักษิณเมื่อล้างหมดแล้วทีละท่าน ทหาร อภิสิทธิ์ มวลชนเสื้อแดง เสื้อเหลือง จึงจะมีความชอบธรรมโค้งสุดท้าย ไม่อย่างนั้นมาล้างความผิดให้ตัวเองคนเดียวโดนคดีความอาญาตัดสินแล้วเอายากที่สุด เลยต้องล้างความผิดทุกคนได้ก่อน ตัวเองจึงจะมีความชอบธรรม ฉะนั้นเขาจึงยอมปล่อยให้มวลชนคนเสื้อแดงหลุดออกไปก่อนเพราะมันง่ายที่สุด กลัวว่าความชอบธรรมของตนเองจะน้อยลง มันก็คือบทพิสูจน์ว่าเขาจับมวลชนคนเสื้อแดงเป็นตัวประการชัดเจนที่สุดนี่คือความเลวร้ายของตัวตนที่แม้จริงของฝ่ายทักษิณ โดยตรง คำถามก็มีอยู่ว่า เอะ ถ้าล้างความผิดอย่างนี้ทำไมล้างความผิดไปถึงปี 2547 ทั้งที่คำว่าพันธมิตรฯเริ่มชุมนุมในปี 2549 เหตุผลไม่มีอะไรครับต้องการล้างทุจริตของตัวเองที่ไม่รู้ว่า ป.ป.ช.มีมูลอะไรอยู่ในช่วงเวลาตอนนั้นให้พ้นผิดไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะเอาองค์กรที่มาจากการตั้ง คตส.นะครับ ล้ำไปถึงปี 2547 ด้วย ผมคิดว่าเจตนาไม่สุจริตหรือไม่ ท่านผู้ชมก็ต้องพิจารณา เพราะมันไม่มีเหตุผลว่าต้องลามมาถึงปี 47 ทำไม หรือจะเป็นคดีรถดับเพลิง

จินดารัตน์ - ค่ะ คดีทุจริตคอร์รัปชันเยอะแยะมากมาย

ปานเทพ - อื่นๆ เยอะแยะในปี 2547 ทำไมต้องไปถึงปี 47 มันไม่มีเหตุผล ด้วยเหตุผลนี้ผมถือว่ามันเป็นความเลวร้ายของระบอบทักษิณที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ผมมีคำถามข้อเดียวให้ท่านผู้ชมคิดตาม เพื่อให้รู้เขาก่อนว่าทำไมเขาถึงทำเวลาตอนนี้ ผมถามข้อแรกเหตุผลเพราะว่าไม่ได้มีร่างของคุณวรชัยร่างเดียว มีร่างของคุณเฉลิมก็มีเนื้อหาคล้ายๆ แบบนี้ ร่างของ พล.อ.สนธิ ก็คล้ายๆ แบบนี้ ทำไมไม่รอวาระอื่นๆ ในวาระโอกาสข้างหน้า ทำไมไม่ปล่อยมวลชนคนเสื้อแดงให้ปล่อยไปก่อนแล้วค่อยไปเสนอในร่างของคุณเฉลิม ร่างของ พล.อ.สนธิ ที่หลังก็ไม่สาย แปลว่าต้องมีเงื่อนไขเวลาเกิดขึ้นที่ไม่สามารถจะรอได้ จริงไหมครับ เพราะมันไม่มีเหตุผลเลย และประการที่ 2 คุณทักษิณ นักโทษชายทักษิณเป็นพ่อค้า เขาจะบวกลบคุณหารตตลอดเวลาว่าอันนี้กำไรหรือขาดทุน จังหวะนี้ขายหุ้นหรือซื้อ จังหวะนี้จะจัดการกับหุ้นเทมาเซกจะจัดการยังไง ออกกฎหมายอะไรมาเพื่อที่จะไปขายให้กับสิงคโปร์

ชัชวาลย์ - แล้วปั่นหุ้นก่อนไหม นี้ไงก็คือเอาทุกคนเป็นจำเลยไว้ก่อนปั่นหุ้นเตรียม

ปานเทพ - เขาจะคิดเป็นระบบแบบนี้ ผมถามว่าเขาจะคิดไม่ออกหรือว่าเงิน 2 ล้านๆ ที่เป็นเงินกู้อยู่ตอนนี้มันคือผลประโยชน์มหาศาลที่ใช้ชั่วลูกชั่วหลานถ้ามีการโกงกิน มันนจะอิ่มหมีพีมันกันอย่างมโหราฬ เป็นทุนมโหราฬที่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถสู้ในเรื่องของทุนได้อีกตลอดการเลยหลังจากมีเงินกู้ชุดนี้ ประเทศชาติจะเป็นยังไงก็ไม่มีใครสนใจหรอก ถ้าสมมุติว่าโครงการเล่านนี้มันไม่ประสบความสำเร็จทำไมเขาจะคำนวณไม่ออก เพราะว่าผลประโยชน์มหาศาล แล้วเอาเรื่องทีมีความเสี่ยงก่อนมาพิจารณาก่อนด้วยไปเหตุผลอะไร มันไม่เหตุผลตามสัญชาตญาณพ่อค้าถูกไหมครับ มันก็มีเหตุผลได้ไม่กี่อย่าง คือประการที่ 1 เล็งเห็นข้างหน้าว่ามีเวลาที่ต้องทำอะไรบางอย่างอีกไม่นาน

เติมศักดิ์ - มีเวลาที่ต้องทำอะไรบางอย่างอีกไม่นาน

ปานเทพ - ที่ทำสิ่งเหล่านี้ ได้อีกไม่นาน ต้องเร่ง หรือ 2 ก็คือว่า ไม่สนใจผลประโยชน์หรอก เพราะว่าคุณทักษิณไม่สามารถได้รับผลประโยชน์จาก 2 ล้านล้าน นี้ได้ เช่น ขัดแย้งกันเองในหมู่รัฐบาล ในการช่วงชิงผลประโยชน์และอำนาจ ที่สั่งการแล้วไม่ได้ดั่งใจ เหมือนกับที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล วิเคราะห์สัปดาห์ที่แล้วว่า นช.ทักษิณ ในเวลาตอนนี้ก็ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ไปเป็น ทำตัวนกสองหัว ตามสัญชาติญาณพ่อค้า ไปเจรจาให้กับฝั่งจีนในเรื่องของทะเลจีนใต้กับหลายประเทศ แล้วข่าวรั่วมา ไม่แปลกใจใช่มั้ยครับว่าทำไมทักษิณถึงมีข่าวเรื่องอัลกออิดะห์จะไล่ฆ่าก่อนหน้านี้ ทำให้ นช.ทักษิณ ไม่สามารถจะไปอยู่ที่อื่นได้ไกล นอกจากอยู่ที่ประเทศจีนในเวลาตอนนี้

ชัชวาลย์ - ปลอดภัยที่สุด

ปานเทพ - อารักขา

เติมศักดิ์ - เหมือนถูกกันออกจากวงอำนาจ

ปานเทพ - แต่ประการที่ 2 ก็คือว่า เมื่อตัวเองพลิกผันไปอยู่ฝั่งนี้ คุณสนธิก็วิเคราะห์ต่อว่า แต่สิ่งที่ นช.ทักษิณ เจรจากับจีน ทั้งหลาย มาดูที่ประเทศไทยว่า ฝั่งรัฐบาลจีนได้อะไรบ้างจากรัฐบาลไทย โครงการน้ำ รถไฟ โครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ได้อะไรเลย มีแต่เกาหลีได้ สิ่งนั้นได้ ประเทศนั้นได้ จีนไม่ได้ตามที่มีการตกลง นช.ทักษิณ ไปเจรจาและอยู่ภายใต้อารักขาของจีน ก็ต้องอยู่ในสถานภาพที่สั่นคลอนมาก ถูกมั้ยครับ เหมือนกับไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง ไม่สามารถสั่งการได้อย่างแท้จริง และผลประโยชน์...

จินดารัตน์ - ไม่ได้ตอบสนองให้จีนได้เต็มที่

ปานเทพ - เพราะฉะนั้นมันก็มีโอกาสที่มีความคิดว่า ไม่ต้องการสภาพแบบนี้อีกต่อไป คือสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ อันนี้ก็เป็นโมเดลที่เป็นไปได้นะครับ แต่เอาล่ะ อาจจะมีกรณีอื่นๆ เช่น อาจจะรู้ระแคะระคายว่า ปล่อยอย่างนี้ไปไม่ได้ ซึ่งจะมีการชี้มูลจาก ป.ป.ช.ว่ามีนายกฯ ผิด รัฐมนตรีผิด ครม.อยู่ไม่ได้ หรือศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะชี้มูลความผิดว่า บางอย่างจะยุบพรรคอีก และอยู่ไม่ได้ หรือสถานภาพเปลี่ยนไป จึงจัดการเจรจาทำการล้างความผิดทุกฝ่าย รวมถึงทหารด้วย

ชัชวาลย์ - รีบทำซะ

เติมศักดิ์ - ก่อนจะถูกล้มโต๊ะ

ปานเทพ - เพราะว่าถ้าฟังจากคำพูดของคนหลายๆ คน บอกว่าพูดไม่ได้ มันจะมีอะไรบางอย่างทำให้พูดไม่ได้

จินดารัตน์ - เดือนหน้ามันจะร้อน

ชัชวาลย์ - แล้วก็เป็นจังหวะที่ขุนทหารเอาด้วย ระดับหัวเอาด้วย

ปานเทพ - โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเหมือนมีการเตรียมการ รู้ว่าอาจจะมีข่าวร้ายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งถ้าปล่อยให้ถึงวันนั้นกระแสมันจะพลิกกลับด้านกันก็ได้ เพราะว่าการเตรียมการที่พบกับฮอร์ นัมฮง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ดี ไปจนถึงแม้กระทั่งการเตรียมการรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่ให้ประชาชนเข้าไม่ถึงในเรื่องของการตกลงระหว่างไทย-กัมพูชาต่อไปในอนาคต เหมือนทุกอย่างถูกวางเรื่องเอาไว้แล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด ก็เดินหน้าล้างความผิด และเร่งอย่างไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งเกิดกรณีการสูญเสียสมเด็จพระสังฆราชก็ตาม ดังนั้นเมื่อรู้เขาแล้ว ว่าเขาเห็นมิติแบบนี้ ข้างในระส่ำระสาย ยอมเสียมวลชนคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่ง คือเขามองตรงกันข้าม ที่ฝ่ายต่อต้านเขาอ่อนแอเกินไป คือฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณในเวลาตอนนี้อ่อนแอเกินไป ถึงขนาดบอกว่า อย่างมากก็หมื่นคน

เติมศักดิ์ - หมายถึงเขาประเมินต่ำเกินไปเหรอ

ปานเทพ - เขาประเมินว่าฝั่งต่อต้านทักษิณอ่อนแอเกินไปที่จะมาต่อต้านเขาได้ ดังนั้นเขาก็เดินหน้าเร็วไปเลย ใครจะรู้ความเสี่ยงในอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้า หลังจากกู้เงิน 2 ล้านล้าน แล้วประเทศจะล่มสลายขนาดไหน เศรษฐกิจวันนี้ การส่งออกแย่ การจับจ่ายใช้สอยน้อย หนี้ครัวเรือนเพิ่ม โครงการนั้นโครงการนี้แย่ ดังนั้นก็เร่งดำเนินการตอนนี้ก่อนที่สถานการณ์จะควบคุมไม่ได้

เติมศักดิ์ - รู้ว่ายังไงฝ่ายค้านก็ไม่เป่านกหวีดอยู่แล้ว

ปานเทพ - ทีนี้คือรู้เขา ต้องกลับมาที่รู้เรา เพราะถ้ารู้เขาเช่นนี้แล้ว ถ้าไม่รู้เรารบยังไงก็แพ้ ต้องรู้เราด้วย รู้เราในวันนี้นะครับต้องให้เข้าใจก่อนว่า เวลาคิดจะล้มฝ่ายตรงกันข้ามที่มาจากการเลือกตั้ง 14 ล้านคน ต้องคิดว่าล้มอย่างไรถึงจะมีความยั่งยืน เพราะเราล้มมาเรื่อยๆกลับมาเขาก็ใหญ่กว่าเดิมเพราะมันล้มเหลว ฝ่ายต่อต้านทักษิณได้รัฐประหารไป พลิกขั้วไป อยู่ในมือทำเจ๊งหมดไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อประชาชน ซื้อใจประชาชนไม่ได้ ถือว่าล้มเหลวฉะนั้นกระบวนการที่ผ่านมา ต้องถือว่าเป็นบทเรียนราคาแพงมาก และทำให้ฝ่ายทักษิณเติบโตขึ้น เมื่อพิจารณาถึงตอนนี้ ฝ่ายต่อต้านทักษิณเองได้แบ่งประชาชนออกเป็น 2 กลุ่มขาด อย่างชัดเจน 1. เกลียดรัฐบาลชุดนี้ รับไม่ได้กับพฤติกรรมที่เลวร้ายทั้งหลาย อยากล้มรัฐบาล ใครก็ได้มาเป็นแทนรัฐบาลชุดนี้ ฉันรับหมด ขอแค่นั้นเพราะมันเลวเผชิญหน้าอยู่ตรงนั้น จะเป็นอะไรก็ได้ไม่สนใจ แต่ไม่เอารัฐบาลชุดนี้ ขอแค่นี้ กับอีกฝั่งเขาเห็นแล้วว่าเขาทำมาหมดแล้ว ไอ้พลิกขั้วล้มรัฐบาลชุดนี้ แล้วมันก็เติบโตขึ้นเวลามีการเลือกตั้งเพราะสุดท้ายก็ต้องมีการเลือกตั้งเขาก็เลยเสนอว่าอย่าทำแบบนี้ ให้มีการปฏิรูปประเทศไทย เป็นธง ถ้าไม่มีธงนี้ ไม่รบ ต้องรบครั้งเดียว จบเบ็ดเสร็จ เป็นลูกธนูดอกสุดท้ายด้วยกัน เดิมพันร่วมกัน และเปลี่ยนประเทศร่วมกันเพื่อประโยชน์คน 65 ล้านคน 2 ความคิดนี้ต่างกัน ฝ่ายล้มรัฐบาลคือมีความคิดเอาฝ่ายต่อต้านทักษิณ 12 ล้านคน รวมพลกันได้ ไปล้มรัฐบาลที่มาจากเสียงประชาชน 14 ล้านคน แต่ฝั่งความคิดปฏิรูป มีความคิดว่า การเมืองมันล้มเหลวทั้งหมด ถ้าจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ต้องทำเพื่อประโยชน์คน 65 ล้านคน ไปล้มผลประโยชน์ของกลุ่มนักการเมืองไม่กี่ร้อยคน ต่างกันมากนะครับ หลักคณิตศาสตร์ก็ต่างกันมาก น้ำหนักก็ต่างกันมาก คนมักจะบอกว่า ฝ่ายต่อต้านทักษิณ ฝั่งนี้บอกว่าต้องโค่นทักษิณก่อน เขาก็จะบอกว่าฝั่งปฏิรูปเพ้อฝัน ไม่คิดเป็นขั้นเป็นตอน ต้องล้มทักษิณก่อนถึงจะมีการปฏิรูปได้

คลิก! อ่านต่อ



กำลังโหลดความคิดเห็น