ผ่าประเด็นร้อน
ไม่ว่าจะพยายามหาทางเบี่ยงเบนตบตากันอย่างไร แต่เชื่อว่าเป้าหมายสูงสุดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่วางไว้มาตั้งแต่เดิมจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด เพราะนี่คือสิ่งที่เขาได้ลงทุน และทำมาทุกทางเอาไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งหากพิจารณาจากการกล่าวหากันอย่างตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่า เป้าหมายที่แท้จริงของเขาสำหรับการลงสู่สนามการเมืองก็คือ “ต่อยอดทรัพย์สิน-สร้างความร่ำรวยเพิ่ม” เปลี่ยนรูปแบบมาเป็น “ธุรกิจการเมือง” เต็มรูปแบบ เปลี่ยนแปลงวิธีการแบบเดิมที่เคยไป “ค้อมหัวกุมไข่” เอาใจนักการเมือง เอาใจข้าราชการใหญ่ เอาใจทหารใหญ่ อย่างตัวอย่างที่เคยเห็นภาพปรากฏเป็นหลักฐานเมื่อครั้งไปพบ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หัวหน้า “เผด็จการทหาร” ในยุค รสช. ในอดีตเพื่อหารือถึงธุรกิจสัมปทานดาวเทียม ซึ่งต่อมา ทักษิณ ก็เคยพูดสำนึกบุญคุณในทำนอง “มีวันนี้เพราะพี่(จ๊อด)ให้” เหมือนกัน ภาพในอดีตที่ต้องเอาอกเอาใจนักการเมือง เคยไปนั่งรอนักการเมืองนานสองสามชั่วโมง เสียทั้งเงิน ต้องเอาอกเอาใจสารพัด แต่มาวันนี้
ทุกอย่างกลายเป็นตรงกันข้าม เขาคุมเกมได้เบ็ดเสร็จ แจกจ่ายอำนาจและเศษเงินให้กับใครก็ได้ที่เข้ามาสวามิภักดิ์
สามารถร่ำรวยเพิ่ม มีอำนาจรวมศูนย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และที่สำคัญไม่ต้องใช้เงินตัวเองลงทุนสักบาท ด้วยการเล่นแร่แปรธาตุหากินกับนโยบายและงบประมาณ อีกทั้งยังพัฒนาก้าวไปอีกขั้นด้วยการสร้างเครือข่ายธุรกิจข้ามชาติ อย่างไรก็ดี ผลพวงจากพฤติกรรมและนโยบายของรัฐบาล “หุ่นเชิด” ของเขากลับเริ่มส่งผลบออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของนโยบายประชานิยมที่ได่รับความนิยมของประชานิยมในช่วงแรก แต่บั้นปลายล้วนเกิดหายนะดังตัวอย่างที่เกิดทั่วโลกโดยเฉพาะในแถบทวีปอเมริกาใต้ อย่างอาเจนตินา และอีกหลายประเทศในบริเวณใกล้เคียง ที่จนบัดนี้ยังไม่ฟื้นจากหายนะทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น ถ้าวกมาที่เรื่องเป้าหมายเดิมของ ทักษิณ ชินวัตร ก็คือต้องการนิรโทษกรรมลบล้างความผิดเพื่อกลับเข้าสู่อำนาจอย่างเปิดเผย และได้เงินคืน นี่คือสิ่งที่เขาทำทุกทางเพื่อให้ได้มาในเรื่องดังกล่าวอย่างครบถ้วน และนี่คือความหมาย “สุดซอย” ที่เคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ
ถ้าใครเข้าใจ “นิสัยสันดาน” ของเขา ก็ต้องมั่นใจว่าเขาก็ต้องสั่งเดินหน้าเต็มตัว เพียงแต่ว่าบางครั้งต้องหาวิธีตบตากลบเกลื่อนบ้าง แต่เป้าหมายเดิมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้เพื่อให้ถึงเป้าหมายสำหรับเขาบางครั้ง “ยอมทุ่ม” ไม่อั้น เพื่อแลกกับ “กำไรที่คุ้มค่า” นั่นคือเป็นไปได้ว่า งานนี้อาจมีการ “โยนมาให้สักก้อน” ให้ไปแบ่งกัน หาก “พวกมึง” ทำได้สำเร็จ อาจเป็น “หลักพันหรือหลักหมื่น” ซึ่งไม่มีใครรู้ชัด หรือไม่ก็ผลตอบแทนเรื่องตำแหน่งแห่งที่ และที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า ถ้าใคร “รับใช้” กันแบบสุดลิ่มก็ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ก็เห็นกันอยู่ว่ามีใครบ้าง
นั่นเป็นเรื่องระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร กับบรรดา “ขี้ข้า-ลิ่วล้อ” ที่ต้องผลักดันกันเต็มที่ ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น ขณะที่ความรู้สึกของชาวบ้านนั้นรับรองว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเชื่อว่า ทั้งสองเรื่องดังกล่าวนั่นคือ การนิรโทษกรรมแบบ “เหมาเข่ง” โดยเฉพาะ การ “ล้างผิดและคืนเงินให้ทักษิณ” นี่แหละจะกลายเป็น “ความรู้สึกร่วม” ของคนไทยที่ “ขาดผึง” ทนไม่ได้อีกต่อไป ไม่ต่างจากกรณีการ “ขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก” โดยเลี่ยงภาษี เมื่อต้นปี 2548 จนเกิดการประท้วงขับไล่กันขนานใหญ่ จนนำไปสู่การ “ฉวยโอกาส” รัฐประหารเมื่อปี 2549
เพราะกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นเจตนาฉ้อฉล เอาเปรียบที่เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจที่สุด สำหรับพวกนักการเมืองที่ทุจริต แม้ว่าเวลานี้สิ่งที่พวกเขากำลังทำก็คือการ “ตบตาเบี่ยงเบน” นั่นคือการอ้างการปรองดองในสังคมด้วยการลบล้างความผิดให้กับทุกกลุ่มทุกสี ซึ่งทำลายแม้กระทั่งหลักการของตัวเองที่เคยอ้างเอาไว้ตลอด ในเรื่องการเอาคนที่อ้างว่าเป็น “ฆาตกร” มาลงโทษ เป็นการอภัยโทษให้กับ ศัตรูของคนเสื้อแดง หน้าตาเฉย ทั้งที่คนพวกนี้เคยเสี่ยงตายเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้คนในครอบครัวของ ทักษิณ มีอำนาจ เสวยสุขแสวงหาความร่ำรวย กันอย่างเต็มคราบ ก็สามารถ"หักหลัง"กันได้อย่างซึ่งหน้า
การอ้างว่า ทักษิณ ไม่ได้เงินคืนก็ถือว่าเป็นเพียงความต้องการ “ลดกระแส” เหมือนกับก่อนหน้านี้เมื่อที่เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับ ทักษิณ และแกนนำคนเสื้อแดง เพราะในความเป็นจริงแล้วการคืนเงินจะเป็น “ผลต่อเนื่อง” นั่นคือ เมื่อมีการระบุว่า “ไม่มีความผิดหรือไม่เคยทำความผิด” ก็จะมีการไปร้องต่อศาลให้คืนเงินในภายหลัง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อไม่เคยทำความผิดก็ต้องคืนเงินกลับมาให้พร้อมดอกเบี้ยครบทุกบาททุกสตางค์
อารมณ์แบบนี้แหละที่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้ ซึ่งฝ่าย ทักษิณ ก็หวั่นไหว เพียงแต่เที่ยวนี้อาจมีการเตรียมการมาดีกว่าแต่ก่อน นั่นคือ “บล็อกผู้นำกองทัพ” เอาไว้ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันได้อย่างลงตัว ถึงได้บอกว่า “ไว้ใจไอ้ตู่ที่สุด” ขณะที่กลไกอื่นๆ ถือว่าอยู่ในกำมือหมดแล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละบางครั้งคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต และที่สำคัญจะประมาทความรู้สึกของสังคมไม่ไดืเป็นอันขาด เพราะคราวนี้นอกจากจะทนไม่ได้ที่เห็นการเอาเปรียบกันซึ่งหน้า มิหนำซ้ำยังเดือดร้อนจากความล้มเหลวห่วยแตกจากฝีมือรัฐบาลหุ่นเชิดของตัวเองผสมโรงเข้าไปอีก มันอาจ “สองแรงบวก” อารมณ์เดือดทะลุองศาเดือดได้เร็วกว่าที่คาด นี่ยังไม่รวมเรื่องอื่นที่ผสมโรงเข้ามาจากกรณีหากศาลโลกพิพากษาให้ไทยต้องเสียดินแดนเข้ามาอีก ไม่อยากนึกว่ามันจะระเบิดเละเทะแค่ไหน ซึ่งบรรยากาศแบบนั้นกำลังนับถอยหลังเข้ามาแล้ว!!