ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
การต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายต่างๆทวีความเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ ต่างฝ่ายต่างกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการต่อสู้เพื่อนำไปสู่ชัยชนะอย่างเด็ดขาด แต่จวบจนถึงปัจจุบันยังไม่มีฝ่ายใดที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ปรารถนาได้ สถานการณ์ยังอยู่ในขั้น “การยัน” ในบทความชิ้นนี้ผมจะประเมินดูว่าระบอบทักษิณ ซึ่งครองอำนาจนำในสังคมไทยมานับสิบปีนั้นมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่สำคัญอย่างไรบ้าง
สถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนว่าฝ่ายระบอบทักษิณอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบฝ่ายอื่นอยู่บ้าง จุดแข็งของระบอบทักษิณที่สำคัญ 7 ประการ คือ 1) การมีฐานทรัพยากรหลักที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ทางการเมืองอยู่ในการครอบครองอย่างมหาศาล โดยเฉพาะเงินทุนที่ได้มาจากทั้งการประกอบธุรกิจแบบผูกขาดและการทุจริตจากการดำเนินนโยบายและโครงการในช่วงที่เป็นรัฐบาล 2) การมีองค์กรมวลชนจัดตั้งเสื้อแดงซึ่งมีสมาชิกที่พร้อมจะถูกระดมออกมาปฏิบัติการทางการเมืองในทุกรูปแบบทั้งเชิงการกดดันองค์กรหรือสถาบันใดก็ตามที่ถูกมองว่ากำลังคุกคามความมั่นคงของระบอบทักษิณ หรือการข่มขู่ทำร้ายและการใช้ความรุนแรงที่อยู่นอกกฎหมายต่อประชาชนกลุ่มอื่น 3) การมีเครือข่ายสื่อมวลชนที่พร้อมจะสนับสนุนยกยอ โฆษณาชวนเชื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บรรดาผู้นำของระบอบทักษิณ การละเลยไม่นำเสนอข้อมูลความเป็นจริงที่สร้างผลกระทบด้านลบแก่ระบอบทักษิณ และมีความพร้อมในการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยกล่าวร้ายป้ายสีแก่กลุ่มที่เป็นปรปักษ์กับระบอบทักษิณอย่างเป็นระบบ
4) การมีนักการเมืองจำนวนมากที่เป็นสมุนบริวาร ซึ่งพร้อมรับใช้และปฏิบัติตามคำสั่งของศูนย์กลางอำนาจของระบอบทักษิณประดุจข้าทาส ไม่ว่าคำสั่งนั้นจะถูกต้องตามกฎหมายหรือจริยธรรมหรือไม่ก็ตาม 5) การมีและสามารถใช้กลไกรัฐอย่าง ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ข้าราชการฝ่ายปกครอง และอัยการที่พร้อมจะรับคำสั่งอย่างปราศจากเงื่อนไข เพื่อปราบปราม จับกุม คุมขัง ดำเนินคดีต่อประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและบุคคลที่ระบอบทักษิณเห็นว่ามีการกระทำที่อาจทำให้เสถียรภาพของตำแหน่งและอำนาจตนเองสั่นคลอน
6) การใช้นโยบายประชานิยมแบบเลือกปฏิบัติเพื่อรักษาฐานเสียงและการสนับสนุนจากกลุ่มประชาชนที่ศูนย์กลางอำนาจของระบอบทักษิณประเมินว่าเป็นกลุ่มที่สร้างความมั่นคงแก่อำนาจของตนเอง เช่น กลุ่มชาวนา และกลุ่มเกษตรกรอื่นๆที่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 7) การใช้ “ระบบสวามิภักดิ์อุปถัมภ์” เป็นเครื่องมือในการสร้างความเหนียวแน่น กระชับมั่นแก่ตัวระบอบ โดยศูนย์กลางอำนาจของระบอบทักษิณจะให้รางวัลแก่บุคคลหรือกลุ่มคนที่แสดงออกถึงการสยบยอมรับใช้แบบสวามิภักดิ์ ใครทำงานรับใช้อย่างทุ่มตัวถวายหัวก็จะได้รับการตอบแทนทั้งเงินตรา ตำแหน่ง และลาภยศอย่างเต็มที่
ภายใต้จุดแข็งก็ย่อมมีจุดอ่อน แม้ดูเหมือนว่าระบอบทักษิณจะมีจุดแข็งหลายด้านที่ทำให้ระบอบนี้ยืนยงอยู่ในสังคมไทยได้ยาวนานถึง 12 ปี แต่ตัวระบอบทักษิณก็มีจุดอ่อนหลายประการซึ่งส่งผลให้ระบอบทักษิณไม่อาจสถาปนาอำนาจนำได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสังคมไทย ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้ระบอบทักษิณประสบกับความไม่แน่นอน เต็มไปด้วยความเสี่ยง และอาจจะล่มสลายพังทลายลงมาในวันใดวันหนึ่งอย่างฉับพลัน เพราะฐานของระบอบทักษิณนั้นเป็นฐานที่กลวงเปล่า สร้างขึ้นมาด้วยความเท็จ การหลอกลวง ความโลภ ความชั่วร้าย ความกระหายเลือดบนซากศพของผู้คน และความอัปลักษณ์ไร้อารยธรรม
ระบอบทักษิณจึงเปรียบเสมือนฟองสบู่ทางการเมือง ที่ดูเหมือนมีสีสันทำให้ผู้คนหลงใหลได้ชั่วครู่ชั่วยาม แต่เมื่อถูกทดสอบกับความเป็นจริงและความดีบ่อยครั้งเข้า ในท้ายที่สุดความเท็จและความชั่วร้ายก็มิอาจจะทานทนได้และจะแตกออกมา หรือในอีกแง่มุมหนึ่งก็ดูคล้ายกับปราสาททราย ที่ดูเผินๆเหมือนมีความแข็งแกร่งสวยงาม แต่ไม่อาจทนทานกับกระแสคลื่นแห่งความจริงได้ เมื่อคลื่นแห่งความจริงโถมซัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าไม่นานปราสาททรายก็จะล้มครืนลงไป
เราลองมาพิจารณาจุดอ่อนของระบอบทักษิณว่ามีอะไรบ้าง
1). ความวิปริตทางจิตของกลุ่มศูนย์กลางอำนาจของระบอบทักษิณ ซึ่งบุคคลหลายคนที่อยู่ในแวดวงศูนย์กลางอำนาจของระบอบทักษิณมีอาการของความวิปริตทางจิตใจอย่างชัดเจนหลายประการ
1.1) การมีจิตใจอำมหิตเลือดเย็นพร้อมที่จะทำลายหรือใช้ความรุนแรง และฆาตกรรมประชาชน ทั้งกระทำในทางตรง และกระทำเชิงรูปแบบของนโยบาย เช่น นโยบายปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสงสัยว่าค้ายาเสพติด นโยบายทำร้ายประชาชนทางอ้อมโดยการจัดสรรงบประมาณไปพัฒนาเฉพาะพื้นที่หรือจังหวัดที่เลือกผู้สมัครที่เป็นนักการเมืองสังกัดระบอบทักษิณ นโยบายบั่นทอนปัญญาของเยาวชนโดยซื้อแท็บเล็ตแจกเด็กประถมปีที่ 1 ซึ่งทำให้การพัฒนาการทางปัญญาและสังคมของเด็กต้องหยุดชะงักหรือเติบโตแบบผิดทิศผิดทาง เป็นต้น
1.2 การใช้คนปัญญาอ่อนขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ หลังจากได้ครอบครองเสียงข้างมาก ศูนย์กลางอำนาจของระบอบทักษิณเลือกคนปัญญาอ่อนขึ้นมาเป็นผู้บริหารประเทศ เพราะไว้ใจในความปัญญาอ่อนว่าตนเองจะสามารถควบคุมได้ รวมทั้งใช้ความ “สวยเสมือนจริง” สร้างคะแนนสงสารและเป็นการลดแรงเสียดทานทางการเมือง แต่ในที่สุด ผู้นำประเทศที่ “ปัญญาอ่อนจริง” แต่มีความ “สวยเสมือนจริง” ได้สร้างความเสียหายแก่ประเทศไทยอย่างเหลือคณานับทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และภาพลักษณ์ของประเทศ จนกระทั่งกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ระบอบทักษิณถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ
2) ความสัมพันธ์กลวง ความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆในระบอบทักษิณนั้นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างทุรชนคนชั่ว ต่างฝ่ายต่างพยายามช่วงชิงผลประโยชน์กันราวกับสุนัขแย่งเศษเนื้อ มีการหลอกใช้ซึ่งกันและกันเพื่อให้กลุ่มตนเองบรรลุเป้าหมายเชิงอำนาจ ผลประโยชน์และสัญลักษณ์ มีการแทงกันข้างหลัง และหักหลังกันเป็นเนื่องนิจ บรรทัดฐานเชิงปฏิบัติของคนในระบอบนี้คือ เอาทุกอย่างเท่าที่เอาได้ หลอกทุกอย่างเท่าที่หลอกได้ โกหกทุกอย่างเท่าที่จะโกหกได้ สิ่งที่เรียกว่า “ความดี” ของระบอบทักษิณคือ “ความสามารถในการหลอกคนให้เชื่อและทำตามที่สั่ง” “ความสามารถในการทุจริตเพื่อสร้างความร่ำรวย” “ความสามารถในการประจบสอพลอเพื่อให้มีตำแหน่งและอำนาจ” ภายใต้บรรทัดฐานเหล่านี้ความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆภายในระบอบทักษิณจึงมีความเปราะบาง และมีแนวโน้มจะแตกสลายลงไปๆได้อย่างฉับพลัน หากเผชิญหน้ากับการท้าทายของสัจธรรมที่แข็งแกร่ง
3) นโยบายประชานิยมของระบอบทักษิณเป็นนโยบายที่ทำลายล้างตัวเอง โดยมีเงื่อนไขคือ ในตอนแรกศูนย์กลางอำนาจของระบอบทักษิณใช้นโยบายนี้หาเสียงทำให้ตนเองเข้าสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจแล้วก็ต้องนำนโยบายเหล่านี้ไปปฏิบัติเพื่อเป็นรักษาฐานเสียงเอาไว้ แต่การนำนโยบายประชานิยมไปปฏิบัติทำให้มีการใช้ทรัพยากร ใช้เงินของประเทศจำนวนมหาศาล ซึ่งจะส่งผลทำให้ต้องลดเงินงบประมาณสำหรับนโยบายที่จำเป็นต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการสร้างสมรรถภาพการแข่งขันของประเทศ สิ่งที่ตามมาคือทำให้ประเทศโดยรวมอ่อนแอลง และกลไกรัฐก็จะทำงานด้อยประสิทธิภาพลง ทุกปีที่ผ่านไปก็ต้องใช้งบประมาณในการทำนโยบายประชานิยมมากขึ้น แต่รัฐบาลไม่อาจหาเงินมาได้อย่างเพียงพอ ครั้นจะหาทางออกโดยการขึ้นภาษีก็ทำไม่ได้เพราะกลัวคะแนนนิยมลดลง จะกู้เงินเพื่อมาใช้ในนโยบายประชานิยมก็ไร้ความชอบธรรม เพราะว่าไม่ก่อให้เกิดผลผลิตและความคุ้มค่า ในท้ายที่สุดรัฐบาลก็อาจจำเป็นต้องลดและเลิกนโยบายประชานิยม ด้วยหมดเงินที่จะนำไปแจกอีกต่อไป
เมื่อไรก็ตามที่รัฐบาลยกเลิกนโยบายเหล่านี้ คะแนนนิยมก็จะหายไป และสูญสิ้นอำนาจไปในที่สุด ทั้งนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายประชานิยมที่อาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงและทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังที่เกิดขึ้นมาในหลายประเทศแถบทวีปอเมริกาใต้มาแล้ว และหากเกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้นมาวันใด วันนั้นคือวันล่มสลายของระบอบทักษิณ
กล่าวโดยสรุป ระบอบทักษิณจึงเป็นระบอบที่ทำลายล้างตนเอง เพราะฐานของการสร้างระบอบมาจากความชั่ว ความเท็จ และความอัปลักษณ์ ส่วนองค์ประกอบของระบอบก็เต็มไปด้วยกลุ่มบุคคลที่มีความวิปริตทางจิต มีความสัมพันธ์กันแบบกลวงเปล่าบรรทัดฐานของการใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์และเป้าหมายของตนเอง