xs
xsm
sm
md
lg

วัดใจคนไทยจะเฉยเมยยอมให้ “แม้ว” ปล้น-ข่มขืนกลางแดด!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

หลายคนที่ติดตามและรู้เท่าทันสันดาน ทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ไปยืน “กำไข่” พินอบพิเทาเผด็จการ รสช. จนหลังจากนั้นได้รับสัมปทานโครงการรัฐ จนร่ำรวยจากการขูดรีดชาวบ้าน ซึ่งต่อมาคนแบบนี้กลับได้รับยกย่องจากพวก “ตกยุคลืมตื่น” เช่น เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อะไรนั่น บอกว่าคนอย่างทักษิณ พัฒนากลายมาเป็นตัวแทนของนักประชาธิปไตยยุคใหม่ เป็นตัวแทนของคนจน ทั้งที่ตลอดเวลาทั้งก่อนและหลัง ลงทุนตั้งบริษัทพรรคไทยรักไทย ทั้งในยุคก่อนมีอำนาจทางการเมือง ยุคที่อยู่ในอำนาจการเมือง และหลังถูกถีบพ้นจากอำนาจ (แต่ในนาม) คนคนนี้กลับมีแต่เรื่องข้อกล่าวหาทุจริตฉ้อฉล มีแต่เรื่องโกงภาษี การตั้งบริษัทฟอกเงินในต่างประเทศกันทั้งครอบครัว ได้ยินแต่ข่าวคราวแบบนี้ตลอดเวลา ตอนเป็นนายกรัฐมนตรีก็แทบไม่ให้ความสำคัญของการประชุมรัฐสภา เพราะแทบไม่เคยไปตอบกระทู้หรือนั่งฟังการซักถามรับฟังความเห็นใดๆ เลย นอกจากเป็นเรื่องจำเป็นบังคับที่ต้องผ่านพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือถูกอภิปรายซักฟอกเป็นบางครั้งเท่านั้น

คนอย่างนี้หรือเป็นนักประชาธิปไตย

ถ้าบอกว่าไอ้นี่แหละคือตัวแทนของ “ทุนอุบาทว์” ตัวแทนของคนโกง “นักธุรกิจการเมือง” ชั่วๆ เออนั่นแหละพอเห็นภาพ และใช่เลย ขณะเดียวกันจะว่าไปแล้วไอ้หมอนี่ก็ไม่ใช่ฉลาดเฉลียว มีสติปัญญา ในการทำธุรกิจเหนือกว่าคนอื่น เพราะถ้าลองย้อนกลับไปในอดีตถ้าเป็นการแข่งขันธุรกิจก็จะเจ๊งหรือไม่ก็เดินไปแบบลุ่มๆ ดอนๆ แต่ที่ร่ำรวยก็เป็นเพราะธุรกิจสัมปทานผูกขาดกับรัฐ ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีเบื้องหลังใต้โต๊ะ หรือแม้แต่นโยบายประชานิยมที่นำมาใช้กับคนจนในไทยจนติดกันงอมแงมก็ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่ความคิดของเขา แต่ลอกเลียนมาใช้ และที่สำคัญประเทศที่ใช้ก่อนก็เจ๊งไปก่อน

และที่สำคัญเงินจากประชานิยมที่นำมาแจกนั้นก็คือ เงินภาษี เงินของรัฐที่นำมาแจกอย่างมักง่าย แต่ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกันแล้วผลประโยชน์ก็กลับไปที่ตัวทักษิณ และธุรกิจของเขาและครอบครัว ที่ได้อานิสงส์ทุกครั้ง ได้ทั้งคะแนนเสียง ได้ทั้งความร่ำรวยเพิ่มขึ้นจากการ “ทุจริตทางนโยบาย” โดยที่ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินของตัวเองสักบาท

นั่นคือการย้อนอดีตทบทวนคร่าวๆ กันให้เห็นภาพกันอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ที่คนไม่น้อยรับรู้ โกรธแค้นรำคาญกันมานานแล้ว เพียงแต่ว่ายังมีชาวบ้านอีกไม่น้อยที่ยังไม่รู้เท่าทัน ยังมีพวกที่อยากได้เศษเงิน อยากได้อำนาจ เข้าไปสวามิภักดิ์ ยอมตัวเป็น “ขี้ข้า” อยู่ตลอดเวลา

ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากสถานภาพของเขาในปัจจุบัน หลังจากถูกขับไล่พ้นจากการเมืองจนต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ แต่ถึงอย่างไรเมื่อเกิดการรัฐประหาร “หน่อมแน้ม” ของพวก “ทหารกระจอก” ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทักษิณก็ฉวยโอกาสใช้มุกเดิม นั่นคือใช้ข้ออ้างเรื่องตัวแทนประชาธิปไตยในความหมายว่ามาจากการเลือกตั้ง กับเผด็จการ ซึ่งจะว่าไปแล้ว “เลวทั้งคู่” หรือหากวัดจากความชั่วที่เห็น “ระบบเลือกตั้งของทักษิณ” ยังเลวกว่า “เผด็จการซ่อนรูป” ได้เนียนกว่า

หากพูดกันแบบรวบรัดตัดความ รวมถึงการพิจารณาจากข้อมูลและความเคลื่อนไหวทั้งหมดจากอดีตจนถึงปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เชิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การสั่งการเพียงคนเดียวคือ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น

ทุกเรื่องทั้งในเรื่องนโยบายประชานิยม ที่ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” หรือการเจรจาทางการธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ก็ล้วนแต่มีเงาของ ทักษิณ ทาบทับอยู่ตลอดเวลา ตัวนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่เพียงแค่การเดินทางไปลงนาม “แสตมป์” รับรองในฐานะผู้นำประเทศเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น

กรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุดกับการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็เช่นเดียวกัน ผลที่กำลังเกิดขึ้นในชั้นกรรมาธิการ ที่เสนอเพิ่มเติมข้อความใน มาตรา 3 ที่ให้ครอบคลุม ยกเว้นความผิดจากการ “โกง” ที่ศาลสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านไปแล้ว กลับคืนมาพร้อมกับดอกเบี้ยรวมกันอีกราว 5 หมื่นกว่าล้านบาท นี่ยังไม่นับคดีความอื่นๆ ที่ยังคาอยู่ในศาลมากมายเป็นหางว่าวก็จะ “หลุดหมด” ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะทุกอย่างจะต้องเดินมาแบบนี้อยู่แล้ว เพราะในเมื่อเขาเป็น “คนลงทุน” ทั้งหมดตั้งแต่ต้น เขาก็ต้องได้ประโยชน์โดยบวกเอาดอกเบี้ยเข้าไปด้วย

กรณีนิรโทษกรรมก็เช่นเดียวกัน ที่บอกว่าต้องการเว้นโทษให้พวกชาวบ้านรากหญ้าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หรือแม้แต่พวกแกนนำหัวโจกก็เถอะ เป็นแค่การตบตา เพราะเป้าหมายที่ต้องการจริง คือต้องการให้ ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิด และกลับเข้าสู่อำนาจ เข้ามาโกงได้อย่างบูรณาการ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ นั่นแหละ

ถ้ากฎหมายสามารถเขียนได้ว่าให้ ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิดทั้งปวงได้ ก็คงทำไปแล้ว 

หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราต่างๆ ก็ล้วนทำเพื่อรองรับอำนาจ และความร่ำรวยของเขาและครอบครัวในภายหน้าทั้งสิ้น ถามว่า การแก้ไขมาตรา 190 ที่เปิดทางให้มีการเจรจาการค้า การลงนามกับต่างชาติ โดยที่รัฐสภาไม่ต้องรับรู้ หรือก่อนหน้านั้น มีการแก้ไขเพื่อฮุบวุฒิสภา เปลี่ยนแปลงบรรยากาศให้เป็นสภา “สภาผัวเมีย สภาขี้ข้า” เต็มรูปแบบ ก็ล้วนมีเป้าหมายรวบอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ นั่นคือ การแทรกแซงองค์อิสระ และศาลได้อย่างชงัด เพราะวุฒิสภาเป็นผู้แต่งตั้ง ซึ่งพอนึกภาพออกว่า ผลในอนาคตจะเป็นอย่างไร รวมทั้งการแก้ไขมาตรา 68 ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก็ล้วนจะออกมาในลักษณะเดียวกัน ไม่ต้องสาธยายให้เสียเวลา รับรู้กันอยู่แล้ว

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกิดขึ้นจริง และไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และมีการวางแผนล่วงดำเนินการกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยที่คนไทยจำนวนไม่น้อยก็รับรู้ความเคลื่อนไหว แต่เฉย ธุระไม่ใช่ มิหนำซ้ำบางครั้งยังรู้สึกรำคาญกับการชุมนุม ว่าทำให้การจรจารติดขัด ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ทำราวกับว่าคนที่ออกมาตากแดดตากฝนบนพื้นถนน เขามีความสุข กับการรมควันท่อไอเสีย สูดดมฝุ่นละอองเข้าไปเต็มปอด อย่างไรก็ดี เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็คงต้องวัดใจกันอีกครั้ง ว่าคนไทยจะเอาอย่างไร จะเป็น “ไทยเฉยเมย” ปล่อยให้ ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาขี้ข้า ร่วมกันปล้น-ข่มขืนย่ำยี กันกลางแดดแบบต่อหน้าต่อตาได้อีกหรือไม่

ถ้ายอมก็ต้องปล่อยไป เพราะถือว่าเป็นกรรมของประเทศนี้ คงฉุดรั้งอะไรไม่ได้แล้ว!!
กำลังโหลดความคิดเห็น