xs
xsm
sm
md
lg

พ.ร.บ.มั่งคงฯเปิดช่องผลาญงบ “บิ๊กตำรวจ” อิ่มแปล้ถ้วนหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

ตื่นตูมราวกับข้าศึกกรีฑาทัพมาล้อมประเทศ เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เกณฑ์กองทัพตำรวจกว่า 60 กองร้อย กำลังพลเกือบ 1 หมื่นนาย ตรึงกำลังอารักขาทำเนียบรัฐบาลไว้เท่าชีวิต ต้อนรับ “ม็อบโค่นแม้ว” กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.)

เรื่องของเรื่องก็มาจาก “ไอเดีย” ของพ่อเจ้าประคุณตำรวจมะเขือเทศ 2 นาย “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่ต้องการกู้หน้าจากการที่ทำงามไส้เผอเรอปล่อยให้ม็อบมาเหยียบจมูกบุกมาประชิดจ่อคอหอยศูนย์รวมอำนาจที่ทำเนียบรัฐบาล

ทั้งๆที่ตอน “ม็อบโค่นแม้ว” ตะล่อมกันเข้าไปปักหลังอยู่ข้างรั้วทำเนียบรัฐบาลมีเพียงหยิบมือแบบนับหัวได้

งานนี้เลยทำเอาขายขี้หน้าทั้งลูกพี่ลูกน้อง เพราะมาตกม้าตายเอาง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ต่อให้งานยากแค่ไหนก็หวดอยู่สนิท ชนิดม็อบไหนๆ ก็ไม่ได้กระดิกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นม็อบสนามม้าภาคหนึ่งของ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ในขณะนั้น และม็อบสนามม้าภาคสองของ “บิ๊กชัย”พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ แกนนำคณะเสนาธิการร่วม

เรียกว่า เก่งทุกอย่างไม่ว่าม็อบจะมาวิธีไหน จะเกณฑ์กำลังพลมาเท่าใด โดนหวดเรียบวุธหมด แต่พอเจอลูกมั่วเที่ยวล่าสุด ไม่มีการประกาศล่วงหน้า ไม่มีการนัดแนะ แกนนำบางคนยังไม่ทราบเรื่องด้วยซ้ำ “ทีมงานมะเขือเทศ” ถึงกับเอาไม่อยู่

ไม่ใช่เพราะตั้งหลักไม่ทัน แต่เข็มขัดสั้น ประมาทเลินเล่อเกินไป!!

ฉากนี้ทำเอาเหวอกินไปตามๆกัน แล้วเหมือนอาการเมาหมัดยังค้างๆกันอยู่ พอรู้ตัวว่าพลาดปล่อยม็อบไปยืนชูคออยู่จุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างทำเนียบรัฐบาลได้ ก็รีบกุลีกุจอกันตาตื่นตาตั้งเกณฑ์กำลังกันมาป้องกันที่ทำงานของ “นายหญิง” กันราวกับจะทำสงครามข้าศึกต่างชาติ

ไม่ว่าจะเป็นการสั่งปิดถนนกันยาวเหยียด ทั้งที่ผู้ชุมนุมกระจุกตัวกันอยู่ไม่กี่ร้อยคนเป็นจุดๆ แถมยังใช้วิชามารป้ายสีแขวนป้ายโยนขี้ให้ม็อบว่า เป็นต้นเหตุที่ทำให้การสัญจรต้องเป็นอัมพาตเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด

แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วด้วยปริมาณของม็อบ และรูปแบบการชุมนุมในวันแรก หากตำรวจไม่นำแท่งปูนมาตั้ง และไม่ขวัญผวาจนเกินไป ก็ไม่ได้กระทบพื้นผิวจราจรด้วยซ้ำ เพราะมวลชนก็รวมตัวกันอยู่ฟุตบาทอย่างเป็นระเบียบ

อาการหลอนยังไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในหมู่ตำรวจเท่านั้น ยังลุกลามไปถึงบรรดาบิ๊กๆ ในรัฐบาล ที่สร้างปรากฎการณ์ “ขี้ขึ้นสมอง” ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใน 3 เขต ได้แก่ พระนคร ดุสิต และป้อมปราบศัตรูพ่าย เพื่อคุ้มกันฐานบัญชาการสำคัญๆ อย่างทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา

เป็นการประกาศที่ทำเอาชาวบ้านร้านตลาด หรือต่างชาติอึ้งกันเป็นแถบๆ เพราะเป็นการงัดกฎหมายพิเศษเพื่อมาควบคุมคนหลักสิบหลักร้อย ทำเอากฎหมายพิเศษที่ว่าดูจะไร้ความขลังลง ที่สำคัญมวลชนที่ชุมนุมยังไม่ได้แสดงพฤติกรรมใดที่ส่อไปว่าจะเกิดความรุนแรง

ฝ่ายรัฐตกอยู่ในอาการบ้าอำนาจแบบพร่ำเพรื่อโดยใช่เหตุ

ขณะเดียวกัน ข้ออ้างที่ว่า เพื่อเป็นการเคลียร์พื้นที่เนื่องจาก “พญามังกร” นายหลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน จะมาเยือนในวันที่ 11 ตุลาคมนั้นก็ไม่สมเหตุสมผล เพราะชุมนุมดังกล่าวยังไม่มีทีท่าว่าจะก่อความรุนแรงและความวุ่นวาย รวมทั้งผู้ชุมนุมเองก็ออกมายืนยันแล้วว่า จะไม่แสดงกิริยาหยาบๆ อย่างที่กลุ่มคนเสื้อแดงเคยทำที่พัทยา เมื่อปี 2552 ที่ทำเอาผู้นำจีนสมัยนั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ ต้องหนีหัวซุกหัวซุนตกน้ำตกท่า เสียเชิง “พญามังกร”ด้วยซ้ำ

การนำเรื่องที่นายหลี่ เค่อ เฉียง จะมาเยือน ก็ต้องการทำให้ตัวเองดูดี หรือหาความชอบธรรมในการทุบม็อบดีๆนี่เอง แต่ลึกๆ แล้ว การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ หนนี้ล้วนมาจากอาการฝ่อของตัวเองทั้งสิ้น

โดยเฉพาะอาการหวั่นๆ ภาพวันวาน “อดีตนายกฯคนหนึ่ง” ไม่มีที่ทำงานจะกลับมาหลอกหลอน เลยต้องรีบเคลียร์ เพราะหากปล่อยไว้กระแสจุดติดเมื่อไหร่อาจกู่ไม่กลับ

อย่างไรก็ตาม หากมองเรื่องความคุ้มค่ากับการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นอกจากจะเป็นไปเพื่อความมั่นคงของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เองมากกว่าประชาชนแล้ว ต้องอย่าลืมว่าการประกาศกฎหมายพิเศษ และสั่งเกณฑ์กำลังพลมามากมายขนาดนี้ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับ “งบประมาณ” ในการดำเนินการ ทั้งค่าเบี้ยเลี้ยงกำลังพล ค่าอุปกรณ์ และอีกสารพัดที่มีมูลค่าหลายสิบล้านบาท

ที่สำคัญยังเป็น “งบลับ” เสียด้วย

หากย้อนกลับไปดูตั้งแต่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เข้ามาบริหารประเทศ มีการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ไปแล้วถึง 3 ครั้ง จนนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์บางคนเริ่มออกมากระทุ้งแล้วว่า รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ บ่อยเสียจนไม่เป็นกฎหมายพิเศษอีกแล้ว เพราะถูกใช้จนพร่ำเพื่อจนเกินไป

และความพร่ำเพื่อคงไม่เสียหายเท่าไร หากแต่ละครั้งยังต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลอีกด้วย โดยการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ที่ผ่านมามีการเกณฑ์กำลังพลมามากกว่า 50 กองร้อยทุกครั้ง ดังนั้น เมื่อเทียบตัวเลขที่มีการเปิดเผยออกมา

แทบไม่ต่างอะไรจากการ “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” ที่รัฐบาลพยายามผลาญงบเพื่อปกป้องตัวเองจากศัตรูที่ไม่มีอำนาจหรืออาวุธมาต่อสู้ ในขณะที่ประชาชนกลับต้องสูญเสียภาษีโดยที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการใช้กฎหมายฉบับนี้เลย

หนำซ้ำ อย่างที่บอกว่าเป็น “งบลับ” จึงไม่สามารถรับรู้ว่า งบประมาณที่เบิกออกมานั้น มีการใช้จ่ายอย่างโปร่งใสหรือไม่ หรือเป็นการตั้งงบประมาณที่สูงเกินจริงหรือไม่ เพราะไม่เคยมีการให้ตรวจสอบ

โดยค่าใช้จ่ายในการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯต่อครั้งนั้น “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ส.ว.สรรหา เคยออกมาแฉว่า การใช้กฎหมายดังกล่าวเมื่อช่วง “ม็อบสนามม้าภาคสอง” ที่ผ่านมาว่า มีค่าใช้จ่ายถึง 175 ล้านบาท แถมยังมีการแฉต่อด้วยว่า แม้ครั้งนั้นจะปฏิบัติงานไม่เต็มสูบ ม็อบไม่ได้แหกด่านมาบุกในพื้นที่ความมั่นคง จากที่ตั้งงบประมาณสำหรับกำลังพลกว่า 4 หมื่นนาย ก็ได้ใช้กำลังพลแค่ 8,000 นายเท่านั้น แต่ก็ว่ากันว่า “เงินทอน” ไม่ได้ส่งคืนคลังหลวงอย่างที่ควรจะเป็นปมครั้งก่อนยังไม่เคลียร์ มาครั้งนี้ก็ต้องถูกตั้งคำถามกันอีกครั้งว่า ทาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่เป็ฯดูแลสถานการณ์ “สบช่อง” ในการผลาญงบอีกครั้งหรือไม่ เพราะมีการเกณฑ์กำลังพลมากถึงเกือบหมื่นนาย ทั้งที่ม็อบมากันแค่หยิบมือตามรายงานของตำรวจเอง ที่สำคัญม็อบที่ว่าก็เป็นประชาชนคนไทยที่ยังไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ชุมนุมภายใต้สิทธิตามกฎหมาย เพียงแต่ถูกมองว่าเป็นภัยความมั่นคงของรัฐบาลเท่านั้น

มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า สตช.ได้ขอเบิกงบประมาณสำหรับการนี้มากถึง 200 ล้านบาท สำหรับ 9 วันที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยส่วนใหญ่ตั้งเบิกเป็น “เบี้ยเลี้ยง” สำหรับตำรวจที่มาประจำการ ในอัตรา 800 บาทต่อหัวต่อวัน แถมยังมีการเบิกค่าอาหาร 3 มื้อตลอดวันต่อนายแยกไว้ในงบประมาณอีกก้อนหนึ่งด้วย

แต่เอาเข้าจริง เบี้ยเลี้ยงตกถึงมือนายตำรวจชั้นผู้น้อยที่เข้าประจำการตามคำสั่งเพียง 300 - 400 บาทต่อนายเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละกองบัญชาการว่า“นาย” มีนโยบายจัดสรรให้อย่างไร โดยมากจะอ้างว่าต้องหักค่าอาหาร ค่าพาหนะ ค่าดำเนินการอื่นๆ จนเหลือไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ที่ตั้งเบิกไปที่ 800 บาทต่อหัวต่อวัน

คำถามมีว่างบประมาณที่ใช้จ่ายเบี้ยเลี้ยง-ค่าอาหารตกถึงมือตกถึงมือนายตำรวจชั้นผู้น้อยแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น แล้วอีกครึ่งจะหายไปไหน

ที่สำคัญรอบนี้เบิกเงินมาถือไว้สำหรับการทำงานเกือบ 10 วัน แต่แค่ 2-3 วันเดียว ม็อบก็ขวัญหนีดีฝ่อม้วนเสื่อกลับบ้านแล้ว ส่วนลูกน้องตำรวจก็เก็บข้าวของกลับต้นสังกัดกันหมด ถามต่ออีกว่างบประมาณที่เหลือส่งคืนคลังหลวงหรือไม่

ตรงนี้คงต้องฝากถามไปถึง “บิ๊กตำรวจ” ทั้งหลาย ที่เชื่อว่าคง “อิ่มแปล้” กันจนพูดไม่ออก
กำลังโหลดความคิดเห็น