หน.ปชป.ติง รัฐไม่ชัดเจนช่วยเหลือเยียวยาน้ำท่วม ชี้หลายพื้นที่หนักกว่าปี 54 จี้ให้ความเป็นธรรม อย่าให้การจัดการน้ำมากระทบ ย้อนนั่งนายกฯจัดการชัดเจน แนะสนใจ ปชช.มากกว่ากู้ 3.5 แสนล.เชื่อใช้งบหมดก็ไม่สำเร็จ เหตุปัญหาแต่ละปีต่างกันหลายพื้นที่ไม่อยู่ในงบ บี้ นายกฯต้องมีบทบาท ข้องใจตื่นตระหนกใช้ พ.ร.บ.มั่นคง ดักอ้างสง่างาม ย้อนไปดูสาวกล้มประชุมอาเซียน คุกคามศาลกลับทำได้ สะกิด “อดุลย์” ปฏิบัติให้เสมอภาค
วันนี้ (10 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับมอบข้าวหอมมะลิจำนวน 540 ถุง เพื่อส่งไปช่วยผู้ประสบอุทกภัยที่ จ.ปทุมธานี พร้อมกับแสดงความเป็นห่วงประชาชนที่ประสบอุทกภัย แต่รัฐบาลยังไร้มาตรการที่ชัดเจนในการเยียวยา หรือการตั้งศูนย์เพื่อประสานงานอำนวยความสะดวกบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการชดเชยเยียวยา และอยากเห็นความกระตือรือร้นของรัฐบาลในการมีศูนย์กลางเผยแพร่ข้อมูลทั้งการเตือน ระดมความช่วยเหลือ เพราะสถานการณ์หลายพื้นที่ยังหนักอยู่ เพียงแต่รัฐบาลพยายามเปรียบเทียบกับปี 2554 อย่างเดียวแล้วบอกว่าไม่หนักเท่าปี 54 แต่ความจริงในหลายพื้นที่หนักกว่าปี 2554 จึงอยากให้รัฐบาลมีความกระตือรือร้นในการดูแลปัญหาของประชาชน เพราะความชัดเจนเรื่องการเยียวยาจะทำให้เกิดความเป็นธรรมว่าการบริหารจัดการน้ำจะไปกระทบที่ใดก็ต้องเยียวยาเป็นพิเศษ และไม่ติดปัญหาทะเลาะกับมวลชนว่าจะให้น้ำไปอยู่ที่ไหน
ทั้งนี้ในยุคที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จะชัดเจนว่าเมื่อเกิดอุทกภัยหนักในที่ต่างๆ จะมีเกณฑ์เยียวยาทั้งในแง่ที่อยู่อาศัย พืชผลว่าจะช่วยเหลืออย่างไร ไม่ได้ปล่อยให้เป็นกระบวนการปกติรอการสำรวจการรับรองจากพื้นที่แล้วค่อยให้ความช่วยเหลือ ตนคิดว่าประชาชนต้องการความอุ่นใจว่าเมื่อเจอกับปัญหาอย่างนี้แล้วจะได้รับการชดเชยเยียวยาอย่างไร เพราะอย่างกรณีที่รัฐบาลชุดที่แล้วเคยจ่ายเยียวยาเบื้องต้นให้บ้านละ 5 พันบาทในขณะนี้ก็ไม่มีการประกาศใดๆ ไม่รู้ว่าที่อยู่อาศัย น้ำท่วม น้ำขัง เยียวยาอย่างไร พืชผลก็เพิ่งได้ยินว่าจะมีคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช.ที่เสนอเยียวยาเรื่องชาวนาที่เข้าโครงการจำนำไม่ได้ ทั้งๆ ที่ทั้งหมดควรออกมาจาก ครม.ที่เป็นผู้กำหนดหลักเกณ์ และมีศูนย์ดูแลประสานข้อมูล การเตือนภัย และการระดมความช่วยเหลือ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามอ้างว่าใช้ศูนย์เก่าแต่ไม่เห็นบทบาทใด ๆ จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับความทุกข์ของประชาชนมากกว่าที่จะสนใจเรื่องการจะใช้เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทอย่างไรมากกว่าดูแลปัญหาให้ประชาชน ทั้ง ๆ ที่การแก้ปัญหาให้ประชาชนจะทำให้เกิดความชัดเจนว่า 3.5 แสนล้านที่เคยคิดว่าจะเป็นคำตอบนั้นไม่ใช่คำตอบ เพราะหลายพื้นที่ไม่อยู่ในแผน 3.5 แสนล้านเลย บางพื้นที่เกิดความคลางแคลงใจว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นในปีนี้ เป็นเพราะมีการไปก่อสร้าง เปลี่ยนแปลงทิศทางน้ำหรือไม่ เพราะรัฐบาลไม่ได้วางแผนแก้ปัญหาทั้งระบบ เช่นกรณีพื้นที่ภาคตะวันออกซึ่งในปี 2554 มองกันว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยกลายเป็นพื้นที่รองรับน้ำในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าสภาพปัญหาในแต่ละปีมีความแตกต่างกัน
“ผมคิดว่าแม้รัฐบาลจะได้ใช้เงิน 3.5 แสนล้าน แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ เพราะในหลายพื้นที่ที่ผมเดินทางไป เช่น ศรีมหาโพธิ พิมูลมังสาหาร แม้กระทั่งพนัสนิคม และพานทอง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเงินกู้ 3.5 แสนล้าน ผมจึงบอกว่าไม่เข้าใจทำไมรัฐบาลไม่เร่งระดมทรัพยากรต่างๆ และประกาศหลักเกณฑ์ความช่วยเหลือ ทั้งที่เอกชนมีความตื่นตัวมาก รัฐบาลจะให้เทียบปี 2554 เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะประชาชนที่ประสบภัยที่พิมูลมังสาหาร เกิดน้ำท่วมในรอบหลายสิบปีอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน 80 ปี พานทอง 40 ปีไม่เคยเจอก็เจอ จะอ้างว่า กทม.และปริมณฑลไม่ท่วมไม่เกี่ยวข้องกัน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังมีคิวเดินทางไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่ในประเทศประชาชนยังประสบปัญหาอุทกภัยนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การประชุมต่างประเทศที่จำเป็นเข้าใจได้ แต่นายกต้องมีบทบาทในการกำหนดเรื่องเหล่านี้ แต่แม้เวลาอยู่ในประเทศก็ไม่มาตัดสินใจหรือดำเนินสั่งการหาข้อยุติ ซึ่งเราเรียกร้องมานานแล้วในเรื่องการชดเชยเยียวยา ที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกร ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าวันนี้นายกรัฐมนตรีอยู่ที่ไหน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อถึงกรณีที่มีการประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง จัดการกับการชุมนุมกลุ่มกองทัพประชาชนโค้นล้มระบอบทักษิณ โดยระดมกำลังตำรวจเกือบ 1 หมื่นนายในขณะที่ผู้ชุมนุมมีไม่ถึง 1 พันคนโดยอ้างความสง่างามของประเทศว่าต้องต้อนรับผู้นำจีน ว่า ถ้าการชุมนุมอยู่ในกรอบของกฎหมายเป็นสิทธิของประชาชน ในอดีตที่ผ่านมาการเจรจาพูดคุยกับผู้ชุมนุมในกรณีจำเป็นก็คุยกันได้ เพราะผู้ชุมนุมก็แสดงความพร้อมที่จะจัดการชุมนุมไม่ให้เป็นอุปสรรคกับการต้อนรับผู้นำจีน จึงควรจะหารือกัน ก่อนที่จะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมาย เพราะการประชุมครม.ชุดเล็กตามระเบียบทำได้ แต่ต้องแจ้ง ครม.ให้ทราบภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งชุดเล็กไม่ได้ระบุว่าต้องกี่คน เฉพาะเท่าที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เป็นระเบียบที่ออกไว้ในปี 2548
ทั้งนี้รัฐบาลจะทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ก็อยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย แต่คนก็ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่เยอะมากทั้งที่ผู้ชุมนุมไม่ได้มากมายถึงขนาดต้องตื่นตระหนกขนาดนั้น จึงมีคนตั้งข้อสังเกตเยอะว่าทำไมจึงทำเป็นเรื่องใหญ่โต โดยที่ผู้ชุมนุมไม่ได้มีจำนวนมากขนาดที่จะต้องตื่นตระหนกขนาดนี้ และที่อ้างเรื่องความสง่างามของประเทศก็อยากให้ย้อนคิดถึงในปี 2552 มีการล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีสองมาตรฐานอยู่แล้ว ทำไมการชุมนุมที่กดดันข่มขู่คุกคามศาล ไม่เคยใช้มาตรการใด ๆ ดูแลปกป้องศาล ทั้งที่ศาลมีภารกิจหน้าที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฝ่ายบริหาร และการอ้างเรื่องต่างประเทศรัฐบาลชุดนี้น่าจะรู้ดีที่สุด เพราะเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมให้คนไปล้มการประชุมอาเซียนก็ทำกันมาแล้ว
“ผมไม่มีคำถามถึง พล.ต.อ.อดุลย์ เกี่ยวกับการทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน แต่อยากขอให้ปฏิบัติเสมอภาค คือ การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่กดดันศาล ก่อกวนกิจกรรมคนอื่น ตนอยากเห็นตำรวจเข้มแข็งกับทุกกลุ่มจะได้เกิดความเป็นธรรม ถ้าจะวางบรรทัดฐานว่าต่อไปนี้การชุมนุมนอกทำเนียบทำไม่ได้ก็ต้องปฏิบัติกับทุกกลุ่ม เพราะตนเห็นมีกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลสามารถยึดพื้นที่หน้าสภาได้ตลอดเวลา ถ้า ผบ.ตร.และรัฐบาลอยากวางบรรทัดฐานเกี่ยวกับการชุมนุมอย่างไรก็ขอให้ปฏิบัติเสมอภาคกันทุกกลุ่ม และถ้าในปี 52-53 ตำรวจทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งเหมือนวันนี้ ผมเชื่อว่าสถานการณ์ก็คงไม่ลุกลาม แต่วันนั้นส่วนใหญ่ตำรวจรายงานแต่ว่าไม่สามารถทำได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว