ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าที่ผ่านมาเคยมีการเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เปลี่ยนระบบคิดกันชนิดที่เรียกว่า "รื้อกันยกกะบิ" นั่นคือต้องทำการเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่ปัจจุบันแบบก้าวกระโดดเท่านั้นถึงจะพอมีอนาคต เพราะหากสังเกตให้ดีจะพบว่าแม้ว่าในเวลานี้จะมีผลสำรวจออกมากี่สำนักทั้งที่ประเภทที่พอเชื่อถือได้ กับประเภท"โพลรับใช้รัฐบาล" ไม่ว่าโพลไหนๆล้วนเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงความล้มเหลวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
แม้ว่าความเห็นของชาวบ้านจะเสื่อมศรัทธาพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากความล้มเหลวในการทำงาน การบริหารนโยบายที่เกิดความผิดพลาด ทัั้งในเรื่องข้าวของแพง รายได้หด มีหนี้สินเพิ่มขึ้น เริ่มเห็นธาตุแท้มากขึ้นทุกวัน ว่าเนื้อแท้นั้นเป็นอย่างไร ได้เป็นว่า "ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ"นั้นมันไปไม่รอด
แต่ก็แปลกที่แม้ว่ารัฐบาลจะ "ขาลง" อย่างไรก็ตาม อย่างผลสำรวจในพื้นที่ภาคอีสานของ "อีสานโพล"จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่เพิ่งภาพดังกล่าวออกมาอย่างชัดเจน ว่าความนิยมของรัฐบาลได้ลดต่ำลงทุกด้านและลดลงอย่าง "ฮวบฮาบ" เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจเมื่อไตรมาสที่สองและไตรมาสที่หนึ่ง อย่างไรก็ดีทั้งที่ปรากฏการณ์เป็นแบบนี้ นั่นคือขณะที่รัฐบาล ขาลงตกต่ำ แต่กลับกลายเป็นว่าความนิยมกลับไม่ได้ไปเพิ่มที่พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านหลักแต่อย่างใด เพราะผลสำรวจที่ออกมากลับออกมาน่าเจ็บปวด เพราะความนิยมพรรคประชาธิปัตย์ก็ลดต่ำลงเรื่อยๆเช่นเดียวกัน
แม้ว่าหากอ้างอิงจากผลสำรวจของ "อีสานโพล" ที่เน้นเฉพาะในภาคอีสานที่เป็นพื้นที่ฐานเสียงผลจะออกมาว่า "มีคนที่ไม่ตัดสินใจเลือกใคร"เพิ่มมากขึ้น เพื่อมาเคลมในแง่ดีว่าคนพวกนี้ต่อไปจะเทเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคตนั้น เป็นการมองในแง่ดีและเข้าข้างตัวเองมากเกินไป เพราะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าความนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดทบทวนกันใหม่ได้แล้ว สำหรับคนในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะการที่จะอ้างว่า พรรคยังมีฐานเสียงที่เหนียวแน่นในภาคใต้ และในกรุงเทพมหานครก็อาจจะกล่าวเพื่อปลอบใจตัวเอง แต่รับรองว่านั่นไม่ใช่เป็นความหวัง แบบมีอนาคตทางการเมือง เพื่อเอาชนะทางการเมือง เอาชนะการเลือกตั้ง ชนะพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะผลสำรวจทุกครั้งจนยันครั้งล่าสุดก็ยืนยันชัดเจนว่า หากมีการเลือกตั้งในวันนี้ก็ยังแพ้หลุดลุ่ย นี่มันหมายความว่าอย่างไร
อย่างน้อยที่เห็นชัดเจน และสะท้อนเป็นคำตอบแบบตรงไปตรงมาก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่อยู่ในร่มเงาของ สุเทพ เทือกสุบรรณ รวมไปถึงการชี้นำและครอบงำทางความคิดของบรรดาผู้อาวุโสของพรรคนั้น "ขายไม่ออก" หรทอหากกล่าวกันแบบถนอมน้ำใจก็ต้องบอกว่า แนวทางและวิธีการขับเคลื่อนพรรคในปัจจุบันยังไม่อาจสร้างความหวัง สร้างความศรัทธาให้กับชาวบ้านได้มากพอ ถึงได้มีข้อสรุปว่าเลือกตั้งเมื่อไหร่ ไม่ว่าเกิดขึ้นวันไหนก็แพ้อีก
อย่างไรก็ดีอาจมีการโต้แย้งกลับมาว่า ไม่จริง เพราะที่ผ่านมาเมื่อวัดจาก "ปริมาณสส."ที่เพิ่มขึ้นทุกครั้ง ก็แล้วยังไงละ ในเมื่อถึงเพิ่มขึ้นแต่ก็แพ้ไม่เป็นท่าทุกครั้ง หรือตะแบงว่า เป็นฝ่ายค้านก็ไม่เสียหายอะไร เพราะมีเกียรติในระบบรัฐสภา หากพูดจริงจากใจก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นแบบนั้นก็ให้ประกาศล่วงหน้าไปเลยว่า "เราจะเป็นฝ่ายค้านอย่างมืออาชีพ"ก็ได้ แต่รับรองว่าไม่ใช่คำพูดที่ออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง
ขณะเดียวกันหากมองอีกด้านหนึ่ง หากพรรคประชาธิปัตย์และผู้บริหารและผู้อาวุโสของพรรคยังยืนยันในแนวทางในแบบเดิมที่เดินมาตลอดว่าถูกต้อง ก็เดินต่อไป ไม่เห็นแปลก เพียงแต่ว่าในสายคนนอกที่มองเข้าไปแล้วมันเห็นว่ามันไม่เวิร์ก และเป็นไปได้สูงยิ่งที่ในอนาคตหากชาวบ้านยังมีความรู้สึกกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างในปัจจุบัน โอกาสที่จะเสื่อมถอย จนไม่อาจสร้างความหวั่นไหวให้กับ ระบอบทักษิณ ได้เลย จนกระทั่งกลายเป็นพรรคต่ำสิบ ก็เป็นไปได้
สำหรับนาทีนี้เชื่อว่าหลายคนอยากสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคที่เสนอให้มีการปฏิรูปพรรคประชาธิปตย์เป็นการใหญ่ ในความหมายที่ว่า "ให้รื้อ"กันใหม่หมด แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะแสดงบทบาท "หยุดๆเดินๆ"แปลกๆไปบ้าง แต่เมื่อใช้โอกาสในช่วงที่พรรคกำลงจะมีการประชุมในเรื่องปรับโครงสร้างพรรคกันอีกครั้งเขาก็ "จุดพลุ"ขึ้นมาอีก ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากสังคมอีกครั้ง และหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในเกิดขึ้นอย่างจริงจัง ไม่ใช่ "ดีแต่พูด" อย่างที่สังคมได้ให้สัญลักษณ์กันไปแล้ว เพราะอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนข้างในว่าจะยินดียอมรับการเปลี่ยนใหม่ เปิดกว้าง จริงๆได้แค่ไหน เพราะน่าจะถึงเวลาต้องทบทวนตัวเองได้แล้ว !!