ผ่าประเด็นร้อน
แน่นอนว่า ถ้าไปถามนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรื่องปรับคณะรัฐมนตรี ที่เรียกว่า “ปู 6” ก็คงไม่ได้คำตอบ เพราะท่าทีที่เห็นก็คือ ยิ้ม-ไม่ตอบ หรือไม่ก็พูดออกมาแบบลอยๆ ว่า “ให้ถึงเวลาเหมาะสม” เสียก่อน ความหมายก็คือ ตัวเอง “ไม่รู้เรื่อง” เพราะการปรับคณะรัฐมนตรีทุกครัั้ง มาจากต่างประเทศ คือ จากตัว “คนเชิด” คือ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งสังคมรับรู้กันดี ทุกคนทุกฝ่าย รวมถึงคนเสื้อแดงก็รู้ว่า คนที่มีอำนาจสั่งการให้ปรับคณะรัฐมนตรี จะให้ใครมาเป็นรัฐมนตรี หรือจะโละใครออกก็อยู่ที่ทักษิณเท่านั้น
อาจจะมีบ้างบางตำแหน่งที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ อาจขอให้เพื่อนที่รู้ใจให้อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีบางเก้าอี้ เช่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ต้อง “ถูกกัน” ออกมาต่างหาก แต่ก็นั่นแหละ หากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ก็ต้องเข้าใจกันดีว่า “เสี่ยโต้ง” คนนี้ก็รับใช้ใกล้ชิดทักษิณมาอย่างดี ตั้งแต่เมื่อครั้งรั้งเก้าอี้สำคัญในตลาดหลักทรัพย์มาก่อน เคยช่วยเหลือเกื้อกูลมาก่อน
ดังนั้น สถานะก็คือ ทักษิณ เป็น “คนเชิด” ส่วนยิ่งลักษณ์ก็เป็น “คนถูกเชิด” เท่านั้น นี่แหละคือสถานะที่เป็นอยู่แท้จริง ไม่ต้องดัดจริตเข้าใจเป็นอีกแบบนอกเหนือไปจากนี้เป็นอันขาด
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสติปัญญาที่สะท้อนออกมาทั้งพฤติกรรมและคำพูดที่แสดงให้เห็นประจำวันของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผ่านมาสองปีกว่า มองอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเข้าใจว่า “เธอไม่มีสติปัญญา” ที่จะเป็นผู้นำประเทศ สามารถใช้อำนาจบริหารบ้านเมืองได้ตามลำพัง เพราะสิ่งที่เห็นทุกวันนี้ชัดเจนขึ้นทุกวันคือ ทักษิณ เป็นคนสั่งการผ่านทางรัฐมนตรี รวมทั้งสั่งการข้าราชการประจำ และแม้กระทั่งทำตัวป็นผู้นำประเทศเดินทางไปเจรจากับผู้นำต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา โดยให้ “น้องสาว” คือ ยิ่งลักษณ์ ใช้ตำแหน่งนายกฯ ไป “แสตมป์” ตามหลังอีกทีหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาก็จะเป็นแบบนี้ให้เห็นทุกครั้งที่ เธอนำคณะไปเยือนต่างประเทศ ซึ่งอย่าได้แปลกใจที่มักมีข่าวที่ปรากฏทางสื่อต่างประเทศทุกครั้งในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจนแยกไม่ออกระหว่างธุรกิจครอบครัวกับผลประโยชน์ของชาติ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จของครอบครัวนี้ ที่นำโดย ทักษิณ ชินวัตร เพียงใดก็ตาม แต่กลับกลายเป็นว่า ยิ่งนานไปยิ่งสะท้อนให้เห็นความ “ห่วยและด้อยประสิทธิภาพ” ออกมาให้เห็นเรื่อยๆ อย่างที่ปรากฏในเวลานี้ ที่สร้างความเดือดร้อนในเรื่อง “ของแพง” ชาวบ้านมีหนี้สิน ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จนล่าสุดมีการประเมินผลการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ ทั้งนี้จะออกมาประมาณไม่เกินร้อยละ 3.7 หรือน้อยกว่านั้น จากเดิมที่เคยคาดหมายว่า จะโตร้อยละ 5 และลดลงมาเหลือร้อยละ 4 จนล่าสุด หดลงมาเหลือแค่ร้อยละ 3 ซึ่งการเติบโตแค่นี้ มันย่อมมีผลต่อการ “จ้างงานใหม่” ความหมายก็คือ ต่อไปพวกบัณฑิตจบใหม่ จะหางานทำได้ยากขึ้น ก็จะยิ่งซ้ำเติมให้สาหัสกว่าเดิม
ด้วยปรากฎการณ์ “ขาลง” ดังกล่าวนี่เอง ที่ทำให้ ทักษิณ ต้อง “รีบจัดการ” ให้เร็วกว่าเดิม เพราะยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานไปเท่าไร่ ยิ่งไม่เป็นผลดี และที่สำคัญต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ครบวาระ 4 ปี เพราะถ้ารอให้ถึงตอนนั้น ทุกอย่างจะพังทลายเสียก่อน
อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้กำลังได้ห็นความเคลื่อนไหวปรับคณะรัฐมนตรี มีพวกที่หวังจะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีตัวเดิม หรือบางคนอยากโยกไปที่ตำแหน่งสำคัญกว่าเดิม ทำมาหากินได้ดีกว่าเดิม รวมไปถึงพวกที่ไม่เคยนั่ง ก็อยากจะมานั่งก็ต้องวิ่งเต้นไปพบ ทักษิณ ซึ่งหากจับทิศทางล่าสุด เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนสิงสถิตอยู่ที่สิงคโปร์ แต่ล่าสุดย้ายไปที่ปักกิ่ง นั่นก็แสดงให้เห็นว่าบรรดา “นักวิ่งเต้น” ต้องบินไปหา ไปกราบเท้ากันชุลมุนวุ่นวาย
สำหรับเหตุผลที่ต้องปรับคณะรัฐมนตรี “ปู 6” ก็คือ เมื่ออยู่ในภาวะ “ขาลง” แล้ว ก็ต้องรีบจัดการโดยเร็ว ต้องรีบ “จัดคิว” ตบรางวัลให้กับพวก “ขี้ข้า” ที่เหลือที่ยังไม่เคยได้เป็นรัฐมนตรีก็เข้ามาสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อรักษาน้ำใจ และยังมีผลต่อการเลือกตั้งในคราวหน้า คนพวกนี้จะได้ไม่งอแง ขณะเดียวกันก็ได้สั่งการให้ ส.ส.ทั้งหลายขยันลงพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่กำลงจะมาถึง
ขณะเดียวกัน สิ่งที่น่าจับตาก็คือ ภายในสมัยประชุมสภาคราวนี้มีการสั่งให้ “เดินเครื่องเต็มกำลัง” สำหรับกฎหมายสำคัญ ทั้งเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท งบประมาณปี 57 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งร่างกฎหมายนิรโทษกรรม แม้ว่าจะยังสะดุดอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ความหมายก็คือ “พร้อมแตกหัก” และถ้าไม่ผ่านก็ “ยุบสภา” เพื่อนำไปเป็นข้ออ้างว่า “ถูกแกล้ง” นำไปหากินได้อีกรอบ
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากตารางเวลาทั้งในศาลรัฐธรรมนูญ และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาวุฒิสมาชิกที่ทูลเกล้าฯไปแล้ว ก็ต้องรอว่าจะโปรดเกล้าฯ ลงมาหรือไม่ และตามกำหนดหรือไม่ รวมไปถึงร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
ถ้านับตามเวลาก็ล้วนออกมาในช่วง 90 วัน ไปตกเอาช่วงต้นปีหน้า พอดี ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมหากมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ เพราะถ้ารอให้ครบวาระรับรองว่า “เละแน่” แม้ว่าถ้าพิจารณาจากผลสำรวจในพื้นที่สีแดงเข้มอย่างในภาคอีสานจะยังชนะ แต่ผลที่ออกมาก็คือ ความนิยมลดลงฮวบฮาบ นี่แหละมันน่าคิด และเชื่อว่าคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร คงไม่รอให้สถานการณ์เลวร้ายจนถึงขนาดนั้น ต้องชิงลงมือก่อน เพื่อให้กลับมายึดอำนาจรัฐอีกรอบ ซึ่งมีทางเดียวก็คือต้องรีบยุบสภาเสียก่อน
แต่ข้อแม้คือ ต้องได้เงิน 2 ล้านล้านบาท งบประมาณปี 57 ผ่าน กฎหมายนิรโทษกรรมผ่านเสียก่อน ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าไปป๊อกที่ศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะนำไปอ้างว่าถูก “อำมาตย์แกล้ง” ซึ่งมุกนี้ก็ยังใช้ได้อยู่!!