ผ่าประเด็นร้อน
ได้เวลาเดินทางไปต่างประเทศอีกแล้วสำหรับ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คราวนี้มีกำหนดการไปเยือนประเทศยุโรป ที่มีภูมิประเทศโรแมนติก น่าอิจฉา อย่างยิ่ง จากกำหนดการตั้งแต่วันที่ 8-15 กันยายน ประกอบด้วย สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี และตบท้ายด้วย มอนเตเนโกร เป็นสามประเทศที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะคุ้มค่ากับงบประมาณเงินภาษีของประชาชนหรือไม่ จะมีการลงนามทำสัญญาการค้าที่เป็นรูปธรรม ออกดอกออกผลปฏิบัติกันอย่างจริงจังหรือไม่ หรือว่าเป็นแค่การ "สร้างสถิติ" สร้างประวัติศาสตร์ของนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปเยือนต่างประเทศมากที่สุดเท่านั้น เหมือนกับการ "บินสะสมไมล์" เท่านั้น
เพราะที่ผ่านมาหากพิจารณาย้อนหลัง ในการเดินทางไปเยือนแต่ละประเทศไม่เคยปรากฏให้เห็นว่ามีการลงนามอะไร มีการเจรจาการค้าอะไรติดไม้ติดมือกลับมา อย่างมากที่เห็นก็เพียงแค่ไปอ่านโพยผิดๆ ถูกๆ ให้ชาวบ้านได้ลุ้นหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งที่ขึ้นเวที หรือไม่ก็ไปถ่ายรูปกับผู้นำต่างประเทศ หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ไม่ได้มีแก่นสารให้จดจำเลย
แต่ที่หนักหนาสาหัสไปกว่านั้นก็คือ ทุกครั้งที่ออกเดินทางไปต่างประเทศก็ล้วนมีแต่เรื่องข้อสงสัยว่า เป็นเรื่อง "ผลประโยชน์ทับซ้อนของพี่ชาย" คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำหน้าที่ตัวจริงอยู่ต่างประเทศ เดินสายไปเจรจานำทางทั้งในเรื่องธุรกิจส่วนตัว หรือไม่ก็เป็นธุรกิจทับซ้อนกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นคน "แสตมป์" ลงนามอย่างเป็นทางการ
ทุกอย่างไม่ใช่เป็นการกล่าวหากันลอยๆ เพราะทุกครั้งทั้งก่อนและหลังการเดินทางไปเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ข่าวคราวในเชิงผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับพี่ชายของเธอคือ ทีกษิณ ชินวัตร ล้วนออกมาจากสื่อต่างประเทศตามหลังกันมาทั้งสิ้น ขณะที่สื่อไทยแทบจะไม่รู้ระแคะระคายใดๆ อาจเป็นเพราะว่า "รู้แต่ไม่รายงาน" เพราะมีการ "ซื้อ" กันไปเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็เป็นการ "หลุด" ออกมาให้เห็นแบบบังเอิญ อย่างเช่นกรณีของ "คลิปอุบาทว์" ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร กับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พูดถึงการเข้าไปฮุบผลประโยชน์ใน "ทวาย"ของพม่า ซึ่งแทนที่จะมี "ยางอาย" หรือมีการดำเนินคดี ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กลับเงียบเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือพยายามเฉไฉ กลบเกลื่อนว่าเป็น "คลิปตัดต่อ" เป็นการกลั่นแกล้งจากฝ่ายตรงข้ามเสียอีก
การเดินทางไปเยือนพม่า เยือนเขมร หรือแม้แต่การเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป ทุกครั้งก็มีสื่อต่างประเทศรายงานว่าเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งก็ทำให้สังคมสงสัยว่าถ้าไม่มีเรื่องดังกล่าว เรื่องผลประโยชน์เพื่อชาติก็คงไม่มี เพราะนอกจากนั้นจะมีแต่เรื่องการขึ้นเวที "ท่องโพย" ปาถกฐา ประกาศวิสัยทัศน์แบบพื้นๆ แต่ก็กลายเป็นว่าหลายครั้งที่ไปอ่านข้อความที่เขียนมาให้แบบผิดๆ ถูกๆ เสียอีก จนสร้างความอับอายให้กับคนไทยที่ติดตามมาตลอด
คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน มีกำหนดการไปเยือนยุโรป สามประเทศคือ สวิสฯ อิตาลี และมอนเตเนโกร มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องสงสัยว่าต้องมีเรื่อง "ไม่งาม" ในทำนองเดียวกันอีก โดยเฉพาะให้สังเกตว่าจะมีการเจรจาเรื่่องการ "ข้อมูลทางด้านการเงิน" ระหว่างกันหรือไม่ที่ สวิส เพราะอาจมีผลเกี่ยวข้องกับ "บางคน" ในเรื่องสินทรัพย์ที่แอบเอาไปฝากเอาไว้ที่นั่น หรือไม่
ส่วนที่ประเทศอิตาลี เชื่อว่าจะต้องมีการพบกับระหว่าง ยิ่งลักษณ์ กับ ทักษิณ ชินวัตร ส่วนจะเป็นการซักซ้อมแผนการบริหารภายใน เพราะกำลังมีวาระสำคัญอยู่ในสภาหลายเรื่อง ทั้งพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ล้วนมีผลต่ออนาคต (ส่วนตัว) ทั้งสิ้น เพราะก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวผ่านทางอินตาแกรมแล้วว่า ทักษิณ กำลังตระเวณอยู่ที่อิตาลี ขณะเดียวกันแม้ว่าจะมีการปฏิเสธกันอย่างไรว่าไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนสำหรับการเยือนมอนเตเนโกร ประเทศเล็กๆ กระจ้อยร่อยที่สุดแสนจะยากจนในยุโรป ที่เพิ่งได่เอกราชมาไม่ถึงสิบปี ประเทศนี้ เพียงแต่ว่าเป็นชาติที่ให้สัญชาติกับ ทักษิณ โดยแลกกับเงินอีกก้อนหนึ่ง ที่สัญญาว่าจะนำไปลงทุนที่นั่น หรือซื้อบ้านพักหรูที่นั่น และที่ผ่านมาทั้งลูกชายและลูกสาวต่างเคยไปถ่ายภาพโชว์ให้เห็นมาแล้ว
ดังนั้นการเดินทางไปเยือนต่างประเทศของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คราวนี้ก็คงไม่ได้ต่างจากคราวก่อน เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับบ้านเมืองให้คุ้มค่ากับงบประมาณของชาติที่เสียไปหลายล้านบาท ไม่ต่างจากการเดินทางท่องเที่ยวโชว์สวย หรือช็อบปิ้งสินค้าแบรนด์เนมตามถนัดเท่านั้น
เพราะวาระสำคัญที่เดินทางไป นอกเหนือจากถูกมองอย่างน่าสงสัยทุกครั้งว่า ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวทางธุรกิจของพี่ชายและครอบครัวแล้ว สิ่งที่มักปฏิบัติอยู่เสมอก็คือ การหนีปัญหารุมเร้า หรือหนีสภา เพื่อไม่ต้องมีผลผูกพันทางกฎหมายในภายหลัง คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าถามคนที่จับตามองอย่างรู้ทันคำตอบก็ต้องออกมาเหมือนเดิม !!