"สุริยะใส" เชื่อ "ยิ่งลักษณ์" หอบรมต.-เอกชนไปมอนเตเนโกรพ่วงสวิส- อิตาลี ตามบงการพี่ชาย ชี้ชัดก่อรูปรัฐบาลพลัดถิ่น ครอบงำอำนาจบริหาร เหนือรัฐบาลที่มาตามรัฐธรรมนูญไทย เตรียมรวบรวมหลักฐาน ร้องศาล รธน.วินิจฉัย สถานะรัฐบาล
เมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (8 ก.ย.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมรัฐมนตรี อาทิ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รมว.คมนาคม นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม และนายพีระพันธุ์ พาลุสุข รมว.วิทยาศาสตร์ เดินทางไปเยือนสมาพันธรัฐสวิส เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 24 และเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี นครรัฐวาติกัน และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 8 - 15 ก.ย.
โดยนายกฯ ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทาง ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเยือนมอนเตเนโกร มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนว่า การเยือนครั้งนี้ถือเป็นการพ่วงทริปจากอิตาลี ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปมอนเตเนโกร ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เนื่องจากทางกระทรวงการต่างประเทศได้ร้องขอมา โดยมอนเตเนโกร ก็เชิญเราไปเยือนนานแล้ว เราถือว่าเป็นโอกาส ขณะที่จุดมุ่งหมายเราคือ ไปสวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลีเป็นหลัก ก็จะถือว่าเป็นการพ่วงทริปไป
“การเดินทางทริปนี้ก็มีภาคเอกชน และสื่อมวลชนติดตามไปตลอด ซึ่งเรายินดีให้ติดตามได้ตลอด และยืนยันว่าการเดินทางทุกทริปมีผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก รวมถึงมีการหารือหลายอย่างซึ่งเป็นประโยชน์ในเรื่องของการส่งเสริมในความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ยินดีให้ฝ่ายค้านตรวจสอบได้เสมอ เรื่องทั้งหมดที่ไปเจรจาเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเลย " นายกรัฐมนตรี กล่าว
** ชี้"แม้ว"กำลังก่อรูปรัฐบาลพลัดถิ่น
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวว่า การเดินทางไปต่างประเทศของน.ส.ยิ่งลักษณ์ กว่า 45 ประเทศ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นมาร์เกตติ้งทางการเมืองที่ลงทุนสูง แต่ไม่มีผลกำไร ซ้ำยังขาดทุนด้วยซ้ำ เพราะรายจ่ายค่าเดินทางมหาศาล เป็นเงินภาษีประชาชนและคนไทยเสียโอกาสที่จะได้เห็นรัฐบาลใส่ใจทุ่มเทการแก้ปัญหาปากท้องมากกว่านี้
การเดินทางต่างประเทศของนายกฯ ที่ผ่านมา มีพฤติกรรมชัดเจนว่าเดินตามทางที่พี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกแบบให้ และมักมีข่าวตามมาพร้อมๆกันว่า พ.ต.ท.ทักษิน กำลังทุนทางธุรกิจในประเทศเหล่านั้นด้วย ล่าสุดกรณีที่นายกฯ เตรียมเดินทางเยือน สวิสเซอแลนด์ อิตาลี และมอนเตรเนโก ก็ไม่มีวาระชัดเจนว่า จะไปเจรจาเรื่องอะไรบ้าง พูดแต่กว้างๆว่าไปชวนนักลงทุน และนักท่องเที่ยว และก็เป็นที่ทราบกันดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สัญชาติ และเป็นพลเมืองมอนเตรเนโกรแล้ว เพราะลงทุนและทำธุรกิจที่นั่น
"ผมจึงจอเรียกร้องให้นายกฯ แถลงวาระการเดินทางอย่างชัดเจนว่า ไปเจรจาเรื่องอะไรบ้าง และเมื่อเดินทางกลับ ต้องทำรายงานชี้แจงต่อประชาชนคนไทยอย่างเป็นรูปธรรมเช่นกัน เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีวาระส่วนตัวหรือของตระกูล"
พฤติกรรมของนายกฯ ที่ใช้เวลาครึ่งหนึ่งในตำแหน่ง โดยการชักจูงของพี่ชายที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ และมีวาระส่วนตัวของครอบครัว และพี่ชาย ที่ยังคุมอำนาจเหนือรัฐบาลอยู่นั้น ทำให้รัฐบาลไทยที่ถูกจัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ถูกครอบงำจากคนที่กำลังพลัดถิ่นหลบหนีคดีอยู่ต่างแดน กลายเป็นการก่อรูปรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาอีกหนึ่งสถานะ มีอำนาจสั่งการตัดสินใจต่อการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ตรวจสอบไม่ได้ และที่สำคัญไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ซึ่งในประเด็นนี้ กลุ่มกรีนกำลังรวบรวมหลักฐานทั้งหมดและเตรียมร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยสถานภาพของรัฐบาลชุดนี้ว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 2 การได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญหรือไม่.
เมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (8 ก.ย.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมรัฐมนตรี อาทิ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รมว.คมนาคม นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม และนายพีระพันธุ์ พาลุสุข รมว.วิทยาศาสตร์ เดินทางไปเยือนสมาพันธรัฐสวิส เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 24 และเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี นครรัฐวาติกัน และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 8 - 15 ก.ย.
โดยนายกฯ ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทาง ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเยือนมอนเตเนโกร มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนว่า การเยือนครั้งนี้ถือเป็นการพ่วงทริปจากอิตาลี ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปมอนเตเนโกร ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เนื่องจากทางกระทรวงการต่างประเทศได้ร้องขอมา โดยมอนเตเนโกร ก็เชิญเราไปเยือนนานแล้ว เราถือว่าเป็นโอกาส ขณะที่จุดมุ่งหมายเราคือ ไปสวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลีเป็นหลัก ก็จะถือว่าเป็นการพ่วงทริปไป
“การเดินทางทริปนี้ก็มีภาคเอกชน และสื่อมวลชนติดตามไปตลอด ซึ่งเรายินดีให้ติดตามได้ตลอด และยืนยันว่าการเดินทางทุกทริปมีผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก รวมถึงมีการหารือหลายอย่างซึ่งเป็นประโยชน์ในเรื่องของการส่งเสริมในความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ยินดีให้ฝ่ายค้านตรวจสอบได้เสมอ เรื่องทั้งหมดที่ไปเจรจาเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเลย " นายกรัฐมนตรี กล่าว
** ชี้"แม้ว"กำลังก่อรูปรัฐบาลพลัดถิ่น
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวว่า การเดินทางไปต่างประเทศของน.ส.ยิ่งลักษณ์ กว่า 45 ประเทศ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นมาร์เกตติ้งทางการเมืองที่ลงทุนสูง แต่ไม่มีผลกำไร ซ้ำยังขาดทุนด้วยซ้ำ เพราะรายจ่ายค่าเดินทางมหาศาล เป็นเงินภาษีประชาชนและคนไทยเสียโอกาสที่จะได้เห็นรัฐบาลใส่ใจทุ่มเทการแก้ปัญหาปากท้องมากกว่านี้
การเดินทางต่างประเทศของนายกฯ ที่ผ่านมา มีพฤติกรรมชัดเจนว่าเดินตามทางที่พี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกแบบให้ และมักมีข่าวตามมาพร้อมๆกันว่า พ.ต.ท.ทักษิน กำลังทุนทางธุรกิจในประเทศเหล่านั้นด้วย ล่าสุดกรณีที่นายกฯ เตรียมเดินทางเยือน สวิสเซอแลนด์ อิตาลี และมอนเตรเนโก ก็ไม่มีวาระชัดเจนว่า จะไปเจรจาเรื่องอะไรบ้าง พูดแต่กว้างๆว่าไปชวนนักลงทุน และนักท่องเที่ยว และก็เป็นที่ทราบกันดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สัญชาติ และเป็นพลเมืองมอนเตรเนโกรแล้ว เพราะลงทุนและทำธุรกิจที่นั่น
"ผมจึงจอเรียกร้องให้นายกฯ แถลงวาระการเดินทางอย่างชัดเจนว่า ไปเจรจาเรื่องอะไรบ้าง และเมื่อเดินทางกลับ ต้องทำรายงานชี้แจงต่อประชาชนคนไทยอย่างเป็นรูปธรรมเช่นกัน เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีวาระส่วนตัวหรือของตระกูล"
พฤติกรรมของนายกฯ ที่ใช้เวลาครึ่งหนึ่งในตำแหน่ง โดยการชักจูงของพี่ชายที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ และมีวาระส่วนตัวของครอบครัว และพี่ชาย ที่ยังคุมอำนาจเหนือรัฐบาลอยู่นั้น ทำให้รัฐบาลไทยที่ถูกจัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ถูกครอบงำจากคนที่กำลังพลัดถิ่นหลบหนีคดีอยู่ต่างแดน กลายเป็นการก่อรูปรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาอีกหนึ่งสถานะ มีอำนาจสั่งการตัดสินใจต่อการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ตรวจสอบไม่ได้ และที่สำคัญไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ซึ่งในประเด็นนี้ กลุ่มกรีนกำลังรวบรวมหลักฐานทั้งหมดและเตรียมร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยสถานภาพของรัฐบาลชุดนี้ว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 2 การได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญหรือไม่.