ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าสังคมจะรับรู้ถึงข่าวคราวความเคลื่อนไหวมานานในทำนองว่า ทักษิณ ชินวัตร ที่มีสถานะไม่ต่างจาก “โจร” หรือ “อาชญากรข้ามชาติ” เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย และอยู่เบื้องหลังทุกอย่างในรัฐบาลนี้ ในแบบ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” ที่ผ่านมาก็มีข่าวคราว เป็นคำพูดทั้งที่ออกมาจากปากของเจ้าตัวคือ ทักษิณ เอง รวมทั้งผ่านทางพวก “ขี้ข้า” ทั้งหลายที่ยกโขยงกันไปพบ ไปสวามิภักดิ์อยู่ตลอดเวลา หรือแม้แต่กรณีนายตำรวจบางคนอย่าง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่สรรเสริญเยินยอทำนองว่า เขาได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจาก ทักษิณ ที่บันดาลให้ จึงเขียนคำขอบคุณแปะไว้เป็นหลักฐานว่า “มีวันนี้...เพราะพี่ให้” ซึ่งก็ถือว่าแย่สุดๆ แล้วที่แม้ว่าจะมีบุญคุณ เคารพนับถือกันอย่างไร แต่เมื่ออยู่กันคนละสถานะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ตำรวจกับโจร” มันย่อมเดินทางเดียวกันไม่ได้
แม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีการความพยายามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างผู้ตรวจการแผ่นดินที่ทำหนังสือจี้ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงทำการสอบสวนทางจริยธรรม ซึ่งดูแล้วไม่มีอะไรคืบหน้า เหมือนกับไม่แยแส และยื้อเวลาให้เรื่องค่อยๆ เงียบหายไปเอง
อย่างไรก็ดี ได้พบคำตอบว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ เป็นคำตอบว่าตำรวจในยุคนี้ถึงได้ผิดเพี้ยนถูกวิจารณ์ในเรื่องการ “เลือกปฏิบัติ” ไม่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย รวมไปถึงการเลือกปฏิบัติอีกแบบหนึ่งเพื่อตอบสนองคนบางกลุ่มที่ตัวเองได้ประโยชน์ เป็นภาพที่ตำรวจถูกวิจารณ์จากสังคมในทางลบมากที่สุด
คำตอบที่ว่านั่นก็คือข้อความของ ทักษิณ ชินวัตร ที่โพสต์ลงในเฟซบุ๊กส์ส่วนตัวทำนองว่าได้เพิ่งได้พบกับ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว และให้จัดการกับส่วยที่ตำรวจเรียกเก็บจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวตามที่ได้รับการร้องเรียนมา
ประเด็นที่มีความหมาย ก็คือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้พบกับ ทักษิณ เท่ากับ “ตำรวจพบกับโจร” แถมยังเป็นหัวหน้าตำรวจเสียด้วย แต่แทนที่จะจับกุม หรือประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวของในต่างแดนเพื่อหาทางจับกุมส่งกลับมาเป็นผู้ร้ายข้ามแดน กลับไม่ทำ แต่กลับไปรับคำสั่ง ความหมายมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก
สิ่งที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่า ทุกอย่างได้กลับตาลปัตร ผิดเพี้ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ ในตอนแรกชาวบ้านสะอิดสะเอียนสิ้นหวังกับกรณีของ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ไปแล้ว กลับต้องมาเจอกับกรณีของ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่เป็นหัวหน้าตำรวจทุกนายยังเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ แล้วชาวบ้านเขาจะเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของตำรวจได้อย่างไร แม้ว่าตำรวจจะถูกวิจารณ์ในทางลบแทบจะไม่มีศักดิ์ศรีเหลืออีกแล้ว ที่ผ่านมาก็เชื่อตามข่าวว่า พล.ต.อ.อดุลย์ เคยไปพบกับ ทักษิณ ก่อนรับตำแหน่ง แต่เขาก็ปฏิเสธ หรือเลือกที่จะไม่ตอบ เมื่อไม่มีหลักฐานมายืนยัน นานไปเรื่องราวก็สร่างซาลงไปเอง
แต่คราวนี้เมื่อมีข้อความออกมาจากทักษิณเอง มันก็เหมือนเป็นการยืนยันว่าได้พบกับจริง และเชื่อว่าพบกันอยู่ตลอดเวลาเป็นระยะ เป็นการไปรับคำสั่ง ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ไม่ได้ปฏิเสธเต็มเสียง “อ้อมแอ้ม” ไปว่าเขารับนโยบายจากนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเรื่องการปราบปรามส่วยท่องเที่ยว
อย่างไรก็ดี กรณีของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาจเป็นเพียงแค่ตัวอย่างเดียวเท่านั้นที่พอมีการยืนยันเป็นตัวเป็นตน เพื่อตอกย้ำความจริงให้เห็นเท่านั้น เพราะยังข่าวข้าราชการระดับสูงรายอื่นอีกหลายคนที่มีข่าวว่าได้พบกับ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในแบบที่ว่า “ไปเคลียร์” หรือไปสวามิภักดิ์ยอมเข้าเป็นพวกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งกรณีนี้แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยออกมาจากเจ้าตัวโดยตรงแต่จาก “คลิปลับ” ที่พูดออกมา ทำให้ข้อสงสัยว่าผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เคยได้พบกับ ทักษิณ มาแล้ว ระหว่างเยือนสหรัฐอเมริกา เมื่อหลายเดือนก่อน จนกระทั่งมีคำพูดตามมาว่า “ผมไว้ใจไอ้ตู่มากที่สุด” นั่นแหละ
นี่ยังไม่นับพวกนักการเมือง บรรดารัฐมนตรี ข้าราชการ ทหารตำรวจคนอื่ยๆที่ตบเท้าไปพบ ไปขอตำแหน่งกันมากมายก่ายกอง จนกลายเป็นธรรมเนียมใหม่แล้วว่า ถ้าอยากได้ตำแหน่ง และก่อนรับตำแหน่งต้องไป “รับโอวาท” จากเขาเสียก่อน กลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว
ข่าวล่าสุดเพิ่งรายงานเข้ามาว่า ทักษิณ ชินวัตร กำลังจะปรับคณัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกรอบภายในเดือนตุลาคมนี้ และสั่งให้ สส.พรรคเพื่อไทยเตรียมตัวรับการเลือกตั้งใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้า นั่นหมายความว่าจะต้องสั่งให้ยิ่งลักษณ์ยุบสภา นี่มันอะไรกัน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าวิปริตผิดเพี้ยน กลายเป็นว่าสังคมไทย นักการเมืองไทย ข้าราชการไทยกำลังยกย่องโจรเป็นนาย ยกย่องโจรให้เป็นต้นแบบ รับฟังคำสั่งไม่ต่างจาก “ขี้ข้า” และอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้สิ่งที่ผิดกำลังกลายเป็นถูก ทุกอย่างถูกกำหนดโดย “พวกมากลากไป” อ้างว่านี่คือกติกาเสียงข้างมากที่สามารถทำอะไรก็ได้
สิ่งที่ปรากฏดังกล่าวทำให้ย้อนนึกถึง “เพลงยาวพยากรณ์” ในสมัยโบราณ ที่ว่า...กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจมฯ!!