ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่บริหารบ้านเมืองมาได้กว่าสองปี กำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 3 เพิ่งจะคิดแถลงผลงานต่อสภาในรอบห 1 ปี ในวันที่ 24 กันยายนนี้ หรือว่าอาจเป็นเพราะที่ผ่านมายังไม่มีผลงานที่จะแถลง หรือมีการตีความจากบรรดากุนซือศรีธนญชัยรอบตัวว่าไม่มีผลบังคับทางกฎหมายให้ต้องแถลง จึงเงียบยื้อเวลาทำหูทวนลมไปเรื่อยๆ
หากจำกันได้เมื่อไม่กี่วันก่อน อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ได้เคยออกมาเตือนเสียงเข้มว่ารัฐบาลกำลังทำผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องให้รัฐบาลแถลงผลงานต่อสภาปีละครั้ง เพื่อจะได้รายงานผลงานปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ให้ประชาชนได้ทราบผ่านทางตัวแทนคือสมาชิกสภาได้รับทราบ เท่านั้นแหละทำให้รัฐบาลต้องตาลีตาเหลือกกำหนดวันแถลงในวันดังกล่าวขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ดี มาถึงนาทีนี้ก็ยังมองไม่ออกว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเอาผลงานอะไรมาแถลงต่อสภา เพราะอย่างว่าแต่ผลงานหนึ่งปีเลย ให้รวมผลงานในรอบ 2 ปีที่รัฐบาลกำลังบริหารเข้าสู่ปีที่ 3 ก็ยังนึกไม่ออกว่ามีอะไรบ้าง เพราะสิ่งที่กิดขึ้นในเวลานี้ล้วนแล้วแต่สวนทาง ตรงกันข้ามกับที่เคยแถลงและกำหนดเป็นนโยบายหาเสียงเอาไว้ทุกเรื่อง เพราะถ้าบอกว่า “จะกระชากค่าครองชีพลงมา” แล้วปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้างล่ะ มีแต่คำพูดว่า “แพงทั้งแผ่นดิน” แพงกันแบบไม่บันยะบันยัง ไม่ใช่เป็น “ความรู้สึก” อย่างที่คนในรัฐบาลพยายามบิดเบือนแน่นอน และไม่ใช่เฉพาะ “ราคาไข่” เท่านั้นที่แพง แต่มันแพงไปทุกอย่างโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพประจำวัน
ไล่เลียงมาที่คำพูดที่ว่าจะเพิ่มราคาผลผลิตสินค่าเกษตรทุกรายการ แล้วปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ที่กำลังประท้วงกันอย่างหัวเสีย มันสำปะหลัง มะพร้าว ข้าวโพด ฯลฯ ทุกประเภทราคาตกต่ำขาดทุนหมด ไม่มีสินค้าตัวใดเลยที่รัฐบาลชุดนี้สามารถผลักดันทำให้ราคาดีมีกำไร
นี่ว่ากันเฉพาะสิ่งที่ประสบใกล้ตัวแบบทุกคนต้องเจอเลี่ยงกันไม่ออกในเรื่องค่าครองชีพ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อรายได้ของกษตรกร รวมไปถึงคนในเมืองทั่วไปที่เมื่อมีรายจ่ายที่สูงขึ้น ขณะที่มีรายได้เท่าเดิมหรือลดลงมันก็ต้องมีหนี้สินเพิ่มขึ้น จนเวลานี้คนไทยมี “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งพรวดพราด จนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเตือนไปยังสถาบันการเงินต่างให้ระมัดระวังในเรื่องดังกล่าว เพราะที่่ผ่านมาเกือบแตะ ร้อยละ 80 แล้ว ยังไม่นับในเรื่องเศรษฐกิจในภาพรวมอื่นที่กำลังส่งผลกระทบหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาวการส่งออกที่หดตัวลงอย่างน่าใจหาย ล่าสุดก็มีการคาดการณ์กันแล้วว่าในปีนี้ไทยอาจมีเศรษฐกิจขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 3 ซึ่งนั่นย่อมมีผลกระทบต่อการจ้างแรงงานใหม่ โดยเฉพาะมีผลกระทบต่อแรงงานใหม่ๆ เช่นบัณฑิตที่เพิ่งจบมาใหม่จะเสี่ยงต่อการไม่มีงานทำมากขึ้น และอย่าได่แปลกใจที่ล่าสุดผลสำรวจความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมได้ลดต่ำสุดเป๋นประวัติการณ์
ปรากฏการณ์ที่กิดขึ้นย่อมไม่มีทางที่ชาวบ้านจะ “มีความสุข” ตามที่พรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เคยสัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งและก่อนเข้ามาบริหารบ้านเมืองแน่นอน เพราะมันกลายเป็นว่ามีแต่ความทุกข์ใจเพิ่มขึ้นทุกวัน
ก่อนหน้านี้มีความพยายามที่จะหลับหูหลีบตายกยอปอปั้นว่า ยิ่งลักษณ์เป็น “นารีขี่ม้าขาว” มาช่วยปลดทุกข์ให้กับคนไทย สามารถสร้างสถิติเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และเป็นรัฐมนตรีกลาโหมที่เป็นผู้หญิงคนแรก แต่ผ่านมา 2 ปีกว่ากำลังเข้าสู่ปีที่ 3 ทุกอย่างที่เคยพูดเอาไว้ล้วนแล้วแต่กลับตาลปัตรตรงข้ามทุกเรื่อง เพราะเอาเข้าจริงอย่าว่าแต่ผลงานที่ออกมาให้ชื่นใจเป็นชิ้นเป็นอันเลย เอาแค่ว่าพูดจาให้รู้เรื่อง ไม่ต้องช่วยกันลุ้นจนหายใจไม่ทั่วท้องอย่างที่เป็นอยู่ก็ยังทำได้ยาก เพราะแค่อ่านโพยตามที่มีคนเขียนเอาไว้ให้อย่างดีก็ยังอ่านผิดๆ ถูกๆ จนเป็นที่ล้อเลียนขบขันกันทั่วไป
อย่างไรก็ดี ภายใต้การบริหารของเธอและพรรคเพื่อไทย นอกจากชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดที่มีแต่ความทุกข์แล้ว อีกด้านหนึ่งมันก็มีคนที่มีความสุขเหมือนกัน นั่นคือคนในครอบครัวของเธอ ญาติพี่น้องของเธอ โดยเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงคนในรัฐบาล เพราะคนพวกนี้ย่อมมีความสุขสุดขีดที่ได้จากการบริหารของรัฐบาล สามารถมองได้แบบนั้นจริงๆ
ดังนั้นในวันที่ 24 กันยายนทำให้อยากรู้เหมือนกันว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเอาผลงานอะไรไปแถลงต่อสภา เพราะอย่าว่าแต่ผลงานในรอบหนึ่งปีเลย ต่อให้รวมเอาทั้งสองปีที่ผ่านมา มันก็ยังเค้นไม่ออกว่ามีเรื่องใดบ้าง และถ้าบอกว่าเธอ “นารีขี่ม้าขาว” มันก็คงมีความหมายที่ผิดเพี้ยน เพราะกำลัง “ขี่ม้าพาลงเหว” ตายกันหมดในไม่ช้า จาก นโยบายทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ นี่แหละ!!