“ยิ่งลักษณ์” โยน ครม.ดูหยุดปีใหม่เพิ่ม 30 ธ.ค.หรือไม่ นักข่าวชงถามเหตุมะกันชัตดาวน์โยงศาล รธน.สอบ พ.ร.บ.งบปี 57 เจ้าตัวหวังไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน ยันใช้งบไปก่อนได้ แต่โครงการใหม่อาจชะงัก จี้ศาลให้ความชัดเจน เผยนัดทีม ศก.ถกเช้านี้ประเมินสภานการณ์ใกล้ชิด
วันนี้ (2 ต.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอให้หยุดในวันที่ 30 ธ.ค.เพิ่มอีก 1 วันในเทศกาลขึ้นปีใหม่ว่า คงจะต้องไปขอความเห็นจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะเท่าที่ทราบกันวันหยุดใช้ไปมากแล้ว ก็ต้องเช็กในขั้นตอนอีกครั้ง แต่ในหลักการแล้วอะไรที่เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและรายได้ให้กับประเทศนั้นรัฐบาลก็ยินดีอยู่แล้ว
นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่หน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ ต้องปิดทำการอย่างเป็นทางการวันนี้ (1 ตุลาคม 2013) หลังจากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องงบประมาณสำหรับปีการคลัง 2014 ซึ่งพรรครีพลับริกันพยายามจะเชื่อมโยงกับการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายประกันสุขภาพ (Obama care) ซึ่งในส่วนของไทยเองศาลรัฐธรรมนูญก็รับเรื่องร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ไว้เช่นกันว่า ในส่วนของประเทศไทยตนก็หวังว่าสถานการณ์และเหตุการณ์จะไม่เกิดเช่นเดียวกับของสหรัฐฯ เพราะในความเป็นจริงเราสามารถใช้งบประมาณไปพลางก่อนได้ ขณะนี้สำนักงบประมาณก็ได้เสนอต่อ ครม.ให้นำงบประมาณไปใช้ได้ แต่อาจจะมีผลกระทบต่อโครงการใหม่ที่เป็นโครงการซึ่งไม่ได้อยู่ในแผนของงบประมาณในปีที่ผ่านมาอาจมีส่วนทำให้เกิดการหยุดชะงัก ซึ่ก็หวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีความชัดเจนออกมา รัฐบาลจะได้ถือปฏิบัติ
เมื่อถามว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อลูกจ้างประจำใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในส่วนของงานที่ต่อเนื่องจากปีงบประมาณที่ผ่านมายังสามารถเบิกจ่ายได้ โดยจะใช้เป็นลักษณะของงบสำรองก่อน ยกเว้นโครงการใหม่ที่อาจจะมีปัญหาซึ่งต้องขอดูในเนื้อหาและรายละเอียดก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นของสหรัฐฯ จะส่งผลเชื่อมโยงมาถึงเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เช้าวันเดียวกันนี้ (2 ต.ค.) ตนก็จะประชุมหารือกับคณะทำงานกำกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งจะมีการประเมินสถานการณ์ก่อนแล้วจะมีการแจ้งให้ทราบ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ต้องติดตามและเชื่อว่าสหรัฐฯ จะมีทางออกภายใน 1-2 วัน แต่ก็ต้องติดตามประเทศไทยเองก็ต้องประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด