หน.ปชป.เปิดโครงการผู้นำฝ่ายค้านพบ ปชช. ย้ำเสียงส่วนน้อยสำคัญ สอบรัฐฯ ทำหน้าที่ ฉะ รบ.ไม่ปรามกุ๊ยแดงป่วนแถมใช้อำนาจแกล้ง จี้แก้ปากท้อง-การศึกษา-ส่งออก จวกประชานิยมจนเศรษฐกิจทรุดหนี้พุ่ง ข้าวของขึ้นซ้ำเติม เมินช่วยเกษตรกร ย้ำกู้ 2 ล้านล้านไม่โปร่งใส ตายเกิดใหม่หนี้ยังไม่หมด ย้อน ปชป.ทำไม่ต้องกู้ ครอบคลุมกว่า ส่วนกู้จัดการน้ำก็ไร้รูปธรรม มุ่งแก้ รธน.เพิ่มอำนาจจาก ส.ว. ท้าจ้างฮอลลีวูดดูคลิปเสียบบัตรแทนว่าตัดต่อหรือไม่ ลั่นไม่ยอมล้างผิดคดีอาญา
วันนี้ (27 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดโครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชน หัวข้อ “ก้าวไปด้วยกัน รู้เท่าทันสถานการณ์บ้านเมืองของเรา” โดยปาฐกถาเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองว่า ในฐานะเป็นผู้นำฝ่ายค้านเป็นตำแหน่งที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ ให้โปรดเกล้าฯ หัวหน้าพรรคการเมืองที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี เป็นการถ่วงดุลอำนาจ ตรวจสอบแทนประชาชนในระบอบประชาธิปไตย หลายครั้งไม่ได้พิจารณาให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ฝ่ายค้านเท่าที่ควร มีแต่พรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ความสำคัญต่อบทบาทการเป็นฝ่ายบริหารและเป็นฝ่ายค้านเท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเสียงข้างน้อยก็ทำหน้าที่อย่างจริงจัง ไม่ใช่รอร่วมรัฐบาลเหมือนพรรคอื่น แต่มุ่งตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตย เคารพเสียงส่วนใหญ่กำหนดทิศทางบริหารประเทศ แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียงส่วนน้อยจะไม่มีความหมาย ซึ่งจะต้องสะท้อนให้เสียงส่วนใหญ่ได้รับทราบด้วย
นายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำว่า การติดตามข่าวสารในขณะนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ใช้สิทธิและทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยได้ดี แต่ยุคนี้บางครั้งการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ เช่น การให้ทุกฝ่ายสามารถแสดงบทบาทได้เต็มที่ สื่อมวลชนพื้นที่ของรัฐ เอกชน ต้องเสนอความคิดหลากหลายให้ประชาชนได้รับรู้อย่างครบถ้วน และสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบรัฐบาลต้องปกป้องคุ้มครองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม แต่ในปัจจุบันแม้แต่การทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมีการระดมคนมาคุกคาม ก่อกวน โดยที่รัฐบาลไม่ได้คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของฝ่ายที่เห็นต่างเพราะคนเหล่านั้นเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลทั้งสิ้น แต่นายกรัฐมนตรีไม่เคยปรามให้ผู้สนับสนุนตัวเองเคารพสิทธิของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการใช้อำนาจรัฐเข้ามากลั่นแกล้งพรรค เช่น กรณีการบริจาคเงินช่วยน้ำท่วมถูกดีเอสไอนำไปดำเนินคดี และยังมีการแทรกแซงสื่อ คุกคามสื่อที่เห็นไม่ตรงกับรัฐบาลด้วย
ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข คือ ปัญหาปากท้องของประชาชน และปัญหาน้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนการออกกฎหมายนิรโทษกรรมและแก้รัฐธรรมนูญเป็นอันตรายต่อระบบการเมืองการปกครองของไทย อีกทั้งเรื่องเศรษฐกิจก็กำลังมีปัญหา โดยรัฐบาลนำเสนอผลงานต่อสภาในการทำงาน 1 ปี ภาพรวมของเศรษฐกิจหรือปากท้องประชาชนตัวเลขบ่งบอกว่าน่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลโฆษณาหาเสียงสร้างความหวังให้ประชาชน เพิ่มรายได้ ค่าแรง เงินเดือน จำนำข้าว และลดค่าใช้จ่ายด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมัน กระชากค่าครองชีพ เพื่อให้เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งเพื่อลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่เมื่อบริหารสองปีเห็นชัดเจนว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่เข้มแข็งขึ้น โดยองค์กรระหว่างประเทศมีการประเมินขีดความสามารถของไทยเกือบทุกด้านที่เกี่ยวกับรัฐไม่มีดีขึ้นเลยเมื่อเทียบกับรัฐบาลของตนในปี 2553 และในขณะที่รัฐบาลเร่งสร้างความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประเทศไทยกับรั้งท้ายอยู่อันดับ 8 ด้านการศึกษา นอกจากนี้ ตัวเลขส่งออกสมัยที่แล้วกว่า 20% แต่สมัยนี้อาจเหลือแค่ 1-2% รวมทั้งจีดีพีที่มีแนวโน้มต่ำลงจึงเกิดคำถามว่านโยบายที่สร้างกำลังซื้อให้ประชาชนไม่ได้ผล ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นแบบก้าวกระโดดแต่ไม่ได้ทำให้แรงงานมีรายได้มากขึ้น เพราะผู้ประกอบการจะใช้วิธีลดการทำงาน หรืออื่นๆ ไม่เพียงเท่านั้นผู้ประกอบการจำนวนมากยังต้องปิดกิจการด้วย
ส่วนจำนำข้าว 15,000 บาทนั้น เกษตรกรก็ไม่ได้จริง และรัฐบาลยังสร้างกำลังซื้อเทียมในเรื่องรถยนต์คันแรกจนมีปัญหาผ่อนทีหลัง ต้องใช้เงินภาษีเกือบแสนล้านให้คนซื้อรถคันแรก จนทำให้ธุรกิจไม่ดี คนไม่มีกำลังซื้อเพราะติดภาระเรื่องรถคันแรก มีหนี้เสียมากขึ้นกระทบเป็นลูกโซ่ เศรษฐกิจเติบโตน้อยลงเข้าสู่ภาวะถดถอย และยังทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น รวมทั้งหนี้ของประชาชนด้วย เพราะนอกจากไม่สามารถเพิ่มกำลังซื้อจากการเพิ่มรายได้แล้ว ยังไม่สามารถกระชากค่าครองชีพลงมาด้วย แต่กลับมี นโยบายซ้ำเติมในเรื่องพลังงานทำให้ราคาน้ำมันแพงกว่ารัฐบาลตนทุกชนิด ปรับราคาแก๊สหุงต้มที่เป็นทรัพยากรของคนทั้งประเทศขายในราคาต้นทุน โดยขายในราคาเดียวกับตลาดโลก จึงมีการขึ้นค่าแก๊สแล้ว 7.50 บาทต่อแก๊ส 15 ก.ก. และจะขึ้นทุกเดือนไปจนถึง 1 ปี คือ 90 บาทต่อถัง ซึ่งทำให้ประชาชนจะเดือดร้อนมากขึ้น ในขณะที่ระบบที่จะอุดหนุนให้คนจนใช้สิทธิซื้อแก๊สราคาเดิมก็ยุ่งยากทำให้ประชาชนไม่ไปลงทะเบียนแต่ รมว.พลังงานกลับบอกว่าที่ลงทะเบียนน้อยเพราะว่าคนจนไม่เดือดร้อน ในขณะนี้เรื่องของไข่ไก่ที่แพงมากกว่ารัฐบาลของตน แต่กลับพยายามใช้วาทกรรมเรื่องไข่ชั่งกิโล ทั้งที่เป็นทางเลือกให้ราคาไข่ไก่ถูกลงจากการลดต้นทุนการคักแยกไข่ ทั้งนี้ตนได้รับข่าวว่าหน้าฟาร์มจะขึ้นราคาไข่คละถึง 4 บาท รัฐบาลต้องทบทวนวิธีการบริหารเศรษฐกิจใหม่ เช่น กรณีไม่ช่วยชาวสวนยางพาราตามที่ร้องขอแต่กลับช่วยเรื่องปัจจัยการผลิต เช่นเดียวกับข้าวโพดที่รัฐบาลใช้วิธีชดเชยเงินให้กับพ่อค้าแต่ไม่มีการซื้อข้าวโพดกับเกษตรกร เพราะแม้รัฐบาลจะชดเชยแล้วแต่พ่อค้าจะยังขาดทุน จึงเชื่อว่าเป็นมาตรการที่จะไม่ได้ผล
นอกจากนี้ รัฐบาลจะกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เกือบเท่างบประมาณแผ่นดินทั้งปี ถือเป็นการกู้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ขาดความโปร่งใส การตรวจสอบ สิ้นเปลือง รั่วไหล ทุจริตได้มาก ในกรอบเวลา 7 ปีที่รัฐบาลวางแผนกู้เงินสามารถออกกฎหมายงบประมาณปกติเพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังได้ และรัฐสภายังได้ตรวจสอบโครงการที่รัฐบาลจะดำเนินการด้วย ว่ามีความคุ้มค่าสมควรอนุมัติหรือไม่ แต่รัฐบาลขอกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ลดต้นทุนการขนส่ง ขยายเครือข่ายระบบคมนาคม แต่รายละเอียดที่ผ่านการพิจารณาของสภาไม่ผูกมัดรัฐบาล ขณะที่มีดอกเบี้ยอีก 3.16 ล้านล้านบาท รวม 5.16 ล้านล้านบาท ใช้หนี้ 50 ปี จนตายแล้วเกิดใหม่ยังอาจต้องมาใช้หนี้ต่อ พร้อมกับย้ำว่าพรรคไม่ได้ค้านการลงทุนแต่บอกว่าต้องเข้ามาทำในระบบงบประมาณ ที่น่าสังเกตคือโครงการเดียวกันกับของรัฐบาลตนต้นทุนกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ถือเป็นความไม่โปร่งใส ขณะที่นายกฯโฆษณาว่าจะทำเพื่อเชื่อมโยงอาเซียน โดยโครงการรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทางที่รัฐบาล กทม.-โคราช กทม.-หัวหิน
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการที่จะเดินทางไปจังหวัดหนองคายเพื่อประชาสัมพันธ์เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทว่า อยากรู้ว่านายกฯ จะพูดความจริงกับชาวจังหวัดหนองคายหรือไม่ ว่าถ้าจะได้นั่งรถไฟความเร็วสูงจะต้องนั่งรถไปโคราช 300 กว่ากิโลเมตร จึงจะได้นั่งรถไฟความเร็วสูง เพราะตามแผนของรัฐบาลรถไฟความเร็วสูงไปไม่ถึง จ.หนองคาย แต่หยุดอยู่ที่โคราชเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีภาระตามมาจากการขาดทุน 2-3 หมื่นล้านที่รัฐบาลต้องนำเงินไปอุดหนุนด้วย แต่ถ้าเป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์จะทำโดยไม่ต้องกู้นอกระบบ เพราะจะดำเนินการร่วมกับประเทศจีนทำ กทม.-หนองคาย กทม.-ปาดังเบซาร์ ซึ่งจะเชื่อมจีน ลาว มาเลเซีย และสิงคโปร์ ไม่เหมือนกับของรัฐบาลที่ไม่ได้เชื่อมอาเซียนเหมือนที่นายกรัฐมนตรีไปกล่าวปกฐกถา
นายอภิสิทธิ์เปรียบเทียบการกู้เงินของรัฐบาลว่า เหมือนการกู้นอกระบบแต่เอาเฉพาะหนี้ในระบบมานำเสนอแล้วอ้างว่าฐานะของครอบครัวดีขึ้น นอกจากนี้ยังทำเฉพาะคมนาคม แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีเงิน 2 ล้านล้านบาทจะพัฒนาทุกด้านอย่างสมดุล คือ ทั้งระบบคมนาคม การศึกษา สาธารณสุข และจะเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้เท่าตัว ดังนั้น รัฐบาลไม่ควรทำเฉพาะเรื่องคมนาคมที่ขาดความโปร่งใส ไม่มีวินัยทางการเงินการคลัง และยังเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหาภัยพิบัติ ซึ่งรัฐบาลใช้เงินเป็นแสนล้าน มีเงินกู้อีก 3.5 แสนล้าน แต่สภาพการแก้ปัญหากลับไม่แตกต่างจากเดิม คือ เตือนภัยไม่ทัน ขนของไม่ทัน มีการประท้วงที่ประตูระบายน้ำ ขาดอย่างเดียวที่นายกฯ ไม่ได้พูดว่า “เอาอยู่” แต่ก็หวังว่าจะไม่ซ้ำรอยปี 2554 ในขณะที่เงิน 3.5 แสนล้านรัฐบาลก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะสร้างอะไรบ้าง แต่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ที่เป็นผืนป่าสมบูรณ์ของประเทศ จึงต้องติดตามใกล้ชิดว่า รัฐบาลที่เคยบริหารจัดการน้ำผิดพลาด ได้เงินกู้ไปแล้วก็ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า สิ่งที่รัฐบาลทำคือมุ่งแก้รัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ด้วยการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งวุฒิสภา ซึ่งจะทำให้ขาดความเป็นกลาง ตรวจสอบไม่ได้ องค์กรอิสระทำงานลำบาก และยังให้ลงสมัครต่อเนื่องได้ด้วย โดยจะมีการลงมติวาระสามในวันพรุ่งนี้ 28 ก.ย.56 ซึ่งคนที่เป็น ส.ว.สามารถลงสมัครได้ทันทีโดยที่ยังเป็น ส.ว.อยู่ด้วย ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้องเพราะเป็นการออกกฎหมายเพื่อตัวเองมีสิทธิมาลงสมัครได้อีก กระทบระบบการคานอำนาจในภาพรวม ได้อำนาจด้วยวิธีมิชอบ รัฐบาลร่วมด้วยช่วยกันคือมีการเสียบบัตรแทนกันด้วย ทำให้กระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญมีปัญหาเรื่องการตรากฎหมายว่าชอบหรือไม่
ส่วนที่มีการแก้ตัวว่าเป็นคลิปตัดต่อนั้น ตนขอท้าให้จ้างคนฮอลลีวูดมาตัดต่อว่าทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าทำไม่ได้ เพราะคลิปเสียบบัตรแทนกันเป็นของจริง จึงเป็นห่วงว่าการใช้อำนาจแบบนี้จะทำให้สภาเสื่อมลมเพราะไม่ได้ทำหน้าที่ให้ประชาชน เช่นเดียวกับกฎหมายนิรโทษกรรม ส.ส.หลายคนก็มีคดีติดตัวแต่มาผลักดันกฎหมายที่ตัวเองจะได้รับประโยชน์โดยอ้างความปรองดองสามัคคี ให้ลืมเหตุการณ์เดิมแล้วคนจะสามัคคีกัน ซึ่งมันไม่ใช่ กรณีเดียวที่มีเหตุผลคือ การนิรโทษกรรมความผิดทางการเมืองด้วยการท้าทายอำนาจรัฐพวกตนไม่คัดค้าน เช่น การออกกฎหมายห้ามชุมนุมแต่เขาชุมนุมถูกดำเนินคดีพวกตนนิรโทษกรรมให้ได้ แต่ปัจจุบันคดีเหล่านี้ไม่มีใครถูกคุมขังอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลควรนิรโทษกรรมเพื่อลบล้างประวัติในทางคดี แตกต่างจากผู้ที่ทำผิดคดีอาญา เผาศาลากลาง ครอบครองหรือผลิตวัตถุระเบิด
“พวกผมไม่ยอมรับการนิรโทษกรรมความผิดแบบนี้ ใครก็ตามจงใจทำร้ายคนอื่นหรือทรัพย์สินคนอื่นไม่ใช่ความผิดทางการเมือง มิฉะนั้นถ้ามีประชาชนทะเลาะวิวาทกันไม่เกี่ยวกับการเมืองมีความผิด แต่ถ้าชกกันเพราะเรื่องการเมืองก็ไม่มีความผิดเพราะมีแรงจูงใจทางการเมือง บ้านเมืองจะอยู่อย่างไร เราต้องตรวจสอบไม่ให้บ้านเมืองเดินทางผิด ไม่เช่นนั้น กติกาก็ไม่มี ที่รัฐธรรมนูญชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธก็ไม่มีผล เพราะจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมตามมาเมื่อมีอำนาจ โดยไม่มีหลักการใดมารองรับ ในสมัยประชุมนี้จำเป็นต้องติดตามการตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ทั้งในสภา และการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญรวมทั้งการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย เพราะสมัยประชุมจะจบในเดือน พ.ย. 56” นายอภิสิทธิ์กล่าว