xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.แฉ “ตระกูลชินฯ” รีดค่านายหน้าสัญญาซื้อไฟฟ้าเมกะวัตต์ละ 9 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปชป.แฉกลางสภาฯ ตระกูล “ชินฯ” เรียกนายหน้าค่าสัญญาซื้อไฟฟ้า สุดโหดโขกเมกะวัตต์ ละ 9 ล้าน หากได้งาน ส่วน “มาลีนนท์” ไม่น้อยหน้าได้โควตาแผงโซลาร์เซลล์ ทำต่างชาติขยาดไม่กล้าเข้ามาแข่งขัน ขณะที่ “เฮียเพ้ง” แอ่นอกยันไม่มี อ้างเอกสารไม่น่าเชื่อถือ ท้าใครเจอไถให้แจ้งข้อมูลมาพร้อมจัดการให้ อ้างรัฐบาลตั้งใจยกเลิกกองทุนน้ำมัน แต่โอกาสยังไม่เอื้อ อวดโครงการช่วยคนจนใช้แก๊สฟรี 7.6 ล้านครัวเรือน แต่ลงทะเบียนแค่ 5 หมื่นกว่าราย อ้างคนจนบอกไม่กระเทือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาการแถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ 1 ปี ของรัฐบาล วันนี้ (25 ก.ย.) นางอานิก อัมระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายถึงผลงานรอบ 1 ปีของรัฐบาลในส่วนกระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ว่ามีคณะกรรมการ 2 ชุดสามารถเลือกใบอนุญาตและอนุมัติ ผู้ถือครองใบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (พีพีเอ) โดยมีการเลี้ยงโควตาให้ราคาซื้อขายสัญญาพีพีเอสูงขึ้น และมีการไปตระเวนขายต่อทำให้กำไรอย่างมาก

“มีผู้ประกอบการเล่าว่า มีการเร่ขายในงานสัมมนา และกระทรวงพลังงานก็ถ่วงเวลาที่ออกมาตรการส่งเสริมพลังงานทดแทน เพื่อให้มูลค่าสูงขึ้นไป มีการล่ำลือกันว่าผู้ที่ได้ประโยชน์จากการค้าขายโควตาคือ “ตระกูลชินวัตร” แต่ไม่มีหลักฐาน แต่ที่ไม่มีบิลหรือใบเสร็จ ก็ไม่ได้หมายความไม่มีการทุจริต หากนายหน้าสามารถผลักดันจนได้พีพีเอ จะคิดราคาในการผลักดันเพื่อเป็นค่าตอบแทน 9 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ หากเป็น 20 เมกะวัตต์ ก็ 200 ล้านบาท 50 เมกะวัตต์ ก็ 500 ล้านบาท ถือเป็นเงินนอกระบบที่เป็นการทุจริต”

นางอานิกกล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องสองมาตรฐานในการได้โควตาการในการเปลี่ยนเทคโนโลยีของพลังงานแสงอาทิตย์ โดยตระกูลมาลีนนท์จะได้งานและเปลี่ยนเทคโนโลยีได้ แต่ของคนอื่นไม่ได้โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งเป็นคดีความฟ้องกันในศาลอยู่ขณะนี้ บางบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินได้ ก็ให้ไปบริจาคในมูลนิธิหรือสโมสรฟุตบอล SWAT ซึ่งชื่อคล้ายผู้มีอิทธิพลเหนือ ครม.ชุดนี้ ขณะที่ต่างประเทศก็ไม่สามารถเข้ามาแข่งขันเพราะเจอระบบแบบนี้ แม้นายกฯ จะเดินทางไปหลายประเทศก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ยอมรับว่าตนรู้จักกับคนในตระกูลชินวัตรทุกคน แต่ยืนยันได้ว่าไม่มีใครเป็นนายหน้า เพราะไฟฟ้า 33,000 เมกะวัตต์เป็นของเจ้าเดิมทั้งหมด ไม่มีการขับเคลื่อน เอกสารที่นางอานิกนำมาโชว์ ตนดูแล้วไม่ใช่เอกสารที่น่าอ้างอิงได้ เพราะตัวหนังสือในตารางไม่น่าจะเป็นตัวบ่งบอก แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงสามารถไปแจ้งความหรือ ส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือให้ตนดำเนินการได้ คิดว่าไม่น่าจะเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการอภิปราย ปัจจุบันการขออนุญาตไฟฟ้าพลังงานทดแทน หรือโซล่าเซล ตนคอยให้อำนวยความสะดวกทุกรายที่ได้รับอนุญาตให้ทำแผงโซลาร์เซลล์ แต่ปัญหาอาจจะเกิดที่กระทรวงอื่นตนไม่สามารถก้าวก่ายได้ แต่กรณีโซลาร์ ลูฟท็อปที่ให้กับกองทุนหมู่บ้าน กองทุนเมือง เราให้มีการออกระเบียบใหม่ให้ผ่อนปรนไม่ต้องขออนุญาตเพียงแต่ให้วิศวกรเซ็นรับรองความมั่นคงแข้งแรงก็สามารถใช้งานได้เร็ว ทำให้การทำงานสะดวกรวดเร็ว ยืนยันว่าไม่มีคนแอบอ้างเก็บหัวคิว หากมีมาร้องเรียนกับตนได้จะดำเนินการกับทุกคน

ส่วนการกำหนดสเปกโซลาร์เซลล์ใหม่จะต้องได้รับประกันโดยบุคคลที่ 3 เช่น ธนาคาร หรือ บริษัทประกันภัยตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี เพราะอดีตที่ผ่านมาการติดโซลาร์เซลล์ตามชุมชน โรงเรียนต่างๆ มีหลายรายใช้งานไม่ได้เพราะอุปกรณ์ขัดข้องเสียหาย จึงอาจจะทำให้ผู้ติดตั้งออกมาโวยวาย แต่เราคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน หากธนาคารหรือบริษัทประกันภัยเห็นว่าสินค้าของรายใดมีคุณสมบัติตามสเปกก็จะรับรองให้

ส่วนเรื่องกองทุนน้ำมันนั้น รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประกาศว่าจะยกเลิก และพยายามอยู่ แต่พอดีช่วงที่เข้ามาบริหารใหม่ๆ ราคาแอลพีจีมีการขยับราคาสูงขึ้นเพราะเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่น โรงงานนิวเคลียร์เสียหายจึงมีการสั่งซื้อแอลพีจีไปผลิตไฟฟ้าทำให้ราคาพุ่งขึ้น 1,200 เหรียญต่อตัน กองทุนน้ำมันที่บวกอยู่ 2 หมื่นกว่าล้าน ติดลบทันที 2 หมื่นล้านบาททันที ซึ่งกองทุนน้ำมันก็เหมือนโครงการหนึ่งของรัฐที่เราพยายามจะยกเลิก ช่วงที่ตนเข้ามารับตำแหน่งพยายามจะขึ้นแอลพีจีแต่มีการต่อต้าน จึงต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชนว่าต้นทุนราคาแอลพีจีกับต้นทุนอาหารมีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ดังนั้นเพื่อผ่อนคลายความเดือดร้อนของประชาชนตนจึงให้ผู้มีรายได้น้อยใช้แอลพีจีในราคาเดิม โดยดูผู้ใช้ไฟต่ำกว่า 90 หน่วย ต่อเดือน เฉลี่ยตั้งแต่ 1 ก.ค. ถึง 31 ธ.ค. 55 รวมทั้งผู้ไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วย 7,617,461 ครัวเรือน จากทั้งหมดเกือบ 18 ล้านครัวเรือน เกือบ ร้อยละ 40 หลังจากให้จดทะเบียนส่งเลขผู้มีสิทธิ์ใช้แอลพีจีไป มีจดทะเบียนเพียง 55,000 รายเท่านั้น

“สาเหตุเพราะคนจนใช้แก๊สหนึ่งถังประมาณ 3 เดือน โดยแต่ละเดือนขึ้นแค่2 บาท เขาไม่เดือดร้อน ทั้งที่มีการแนะนำแล้ว ทุกจังหวัดบอกตรงกัน จึงไม่รู้จะทำอย่างไร เขาบอกว่าการขึ้นค่าแก๊สไม่กระทบ แต่ที่วัตถุดิบต่างหากที่กระทบ ต่อค่าอาหาร พืชผักเนื้อสัตว์ ส่วนคนรวยไม่มีผลกระทบเพราะไม่เดือดร้อน คนที่เดือดร้อยคือคนที่ขโมยแก๊สไปขายเพราะโครงสร้างต่างกันระหว่างแก๊สหุงต้มกับแก๊สรถยนต์ ดังนั้น หากจะเลิกกองทุนน้ำมันได้ ราคาแก๊สต้องขึ้นไปจนไม่ต้องไปสนับสนุน เพราะทุกวันนี้ยังต้องเอาเงินจากกองทุนไปชดเชยแอลพีจีวันละประมาณ 100 ล้านบาท ปีละ 4 หมื่นบ้านบาท เราหนุนมาแล้วทั้งหมด 1.4 แสนล้านบาท ดังนั้นการวางแผนโรดแมปตรงนี้สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องดีเซลมีการปล่อยเสรีตั้งแต่สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน ตอนนี้มีการลดภาษีสรรพสามิตเพื่อลดราคาลงมาอยู่ 30 บาท รัฐบาลพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรให้ต้นทุนค่าครองชีพถูกลง จึงคิดโครงการรถไฟรางคู่เพื่อขนส่งสินค้า 2 ล้านล้านบาท เพื่อราคาดีเซลจะได้ขึ้นไปตามปกติท้องตลาด เพราะไทยจะเข้าสู่ AEC ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะต้องตามกติกาสากล” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว






อานิก อัมระนันทน์ (แฟ้มภาพ)
กำลังโหลดความคิดเห็น