เลขาธิการนายกรัฐมนตรีอ้างช่วง 2 ปีนายกฯ ไปต่างประเทศเรียกความเชื่อมั่นหลังรัฐประหาร เปรียบรถไฟตกราง รถตกจากถนน โยงกู้ 2 ล้านล้านเรียกความเชื่อมั่นประเทศคืน ฟูมฟายถ้าไม่ผ่านประเทศเสียโอกาส โดดป้องทัวร์นอกผลาญงบฯ วอนให้ดูผลและมูลค่าเพิ่มของประเทศมากกว่าเรื่องค่าใช้จ่าย แถไม่ได้ไปนานแล้วเพราะไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตย
วันนี้ (19 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 13.15 น. นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงครบรอบ 7 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย.ว่า 7 ปีที่ผ่านมาเราได้บทเรียนเยอะ ตนก็เป็นคนหนึ่งเมื่อตอนรัฐประหารต้องออกจากตำแหน่ง เรื่องตำแหน่งไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ประชาธิปไตยที่สูญเสียไป วันนี้เราได้บทเรียน และการที่ได้มาทำงานร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้เดินทางไปต่างประเทศร่วมกับนายกฯ และได้พูดจากกับหลายๆ กลุ่ม ซึ่งจะเห็นว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้เวลาอย่างมากในการเสริมสร้างและเรียกความเชื่อมั่นกลับมา เพราะผลกระทบจากการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 ไม่ใช่เฉพาะในปีนั้นหรือแค่วันนั้น แต่มีผลกระทบต่อเนื่อง เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จุดเริ่มต้นความขัดแย้งคือการตัดสินใจที่ทำการรัฐประหาร การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้นประชาธิปไตยได้กลับคืนมาจากการเลือกตั้ง เมื่อ 2 ปีที่แล้วต้องใช้เวลามากในการทำความเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาทำให้ประเทศชาติสูญเสียโอกาส
นายสุรนันทน์กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 2 ล้านล้านบาท จริงๆ แล้วถ้ามีความต่อเนื่องในการจัดทำงบประมาณตั้งแต่ปี 48-49 ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เริ่มไว้ในโครงการโมเดลไทยแลนด์ ซึ่งมีหลายส่วนในการพัฒนาการลงทุนขนาดใหญ่ ถ้ามีความต่อเนื่องตั้งแต่เวลานั้น โดยลงทุนร่วมกับเอกชนหรือมีการกู้เงินก็จะทำให้เรา ไม่เกิดความล้าหลังในการลงทุน หรือเกิดความล่าช้าในการลงทุน ทำให้วันนี้เราต้องตัดสินใจลงทุนขนาดใหญ่ จึงเสนอออกกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจากรัฐสภา โดยหวังว่าสมาชิกรัฐสภาจะเข้าใจ และทำให้การลงทุนที่เราขาดมาในอดีต จะได้เดินไปข้างหน้าได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลบอกว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่การบริหารประเทศยังเดินสะดุดอยู่ตลอด เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จริงๆ แล้วประชาธิปไตยที่ได้กลับคืนมา ยังต้องมีกระบวนการที่ทำให้เกิดความมั่นคงมากขึ้น การที่เราถูกล้มล้างไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว กว่าจะกลับขึ้นมาวิ่งบนท้องถนนได้ ซึ่งวันที่ 19 ก.ย. 49 รถไฟตกราง รถตกจากถนน วันนี้เรากลับขึ้นมาขับบนถนนได้ ขับบนรางได้ แต่กว่าจะสตาร์ทเครื่องติด กว่าจะทำให้เกิดความมั่นใจต้องใช้เวลา ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายกลุ่มที่ยังคิดว่า ประชาธิปไตยอำนาจปวงชนชาวไทยไม่สำคัญ ยังจะเอาอำนาจไว้ในมือในตัวเอง ในกลุ่มเล็กๆ ก็จะมีความพยายามล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตรงนี้รัฐบาลไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการต่อสู้ทางประชาธิปไตยรัฐบาลเห็นว่าต้องต่อสู้ในระบบรัฐสภา การประท้วงการแสดงความคิดเห็นในที่อื่นๆ จะเป็นบนท้องถนน หรือตามหน้าหนังสือพิมพ์มีความคิดเห็นแตกต่างได้ แต่ในที่สุดการถกเถียงก็ต้องอยู่ในเวทีรัฐสภา เพื่อให้ตัวแทนประชาชนที่ได้รับการเลือกตั้งมาได้ถกเถียงกัน จะแพ้หรือชนะก็ว่าไปแต่ละประเด็น เพราะในที่สุดแล้วทุกคนต้องกลับไปสู่การเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินว่า สิ่งที่ตัวเองทำมาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร ประชาชนอาจจะชอบสิ่งที่รัฐบาลทำก็สามารถเลือกกลับมาทำงานต่อได้ หรือถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยฝ่ายค้านมีแนวคิดสร้างสรรค์กว่า ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้ากว่าก็ตัดสินได้ในการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ประชาธิปไตย
เมื่อถามว่าถ้าเกิดร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทไม่ผ่าน จะเกิดปัญหาอะไร นายสุรนันทน์ กล่าวว่าสิ่งที่จะเสียหายคือโอกาสเพราะวันนี้เราล้าหลังมามาก การที่รัฐบาลนำเสนอเรื่องการเชื่อมโยงทั้งในประเทศและในภูมิภาค เป็นสิ่งที่ยอมรับในระดับสากล การหารือกับสถาบันการเงินไทย รวมถึงการเดินทางไปต่างประเทศที่มีการหารือกับสถาบันการเงินต่างประเทศ เขามองว่า 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างความเชื่อมั่นฟื้นกลับมาได้ ตอนนี้ถึงเวลาต้องลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งเรื่องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทในช่วง 7 ปี หรือการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทต้องสะดุดลงจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักธุรกิจและนักลงทุนสูญเสียไป และความเชื่อมั่นนี้ไม่ใช่เรียกกลับคืนมาง่ายๆ ฉะนั้น วันนี้ถ้าร่วมมือร่วมใจกัน และตรงนี้ถือเป็นโครงการของประเทศ เป็นของคนไทยทุกคนถ้าช่วยกันให้ผ่านไปได้ เริ่มลงทุนได้ จะมีการสร้างงานสร้างรายได้จำนวนมหาศาล ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวที่จะทำให้คนไทยมีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น และเป็นการสร้างงานสำหรับลูกหลานของเรา
เมื่อถามว่า เงิน 2 ล้านล้านบาทเป็นเงินจำนวนมหาศาล รัฐบาลได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจประโยชน์ที่จะได้เพียงพอหรือยัง นายสุรนันทน์กล่าวว่า รัฐบาลต้องใช้เวลาชี้แจงประชาชน ซึ่งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ได้รับฟังความคิดเห็นตามกระบวนการทั้งในต่างจังหวัดหลายจุด และการจัดนิทรรศการในกรุงเทพฯ ที่ศูนย์ราชการ ถือว่าได้รับการตอบรับตอบสนองที่ดี มีข้อคิดเห็นมากมาย แต่สิ่งสำคัญทุกคนมองว่า อันนี้คืออนาคตของประเทศอย่าไปมองเพียงแค่สร้างรางรถไฟ เรากำลังสร้างอนาคต ฉะนั้นการสร้างอนาคตคือการสร้างเมืองใหม่ จุดใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ดูเหมือนว่ากฎหมายที่รัฐบาลเสนอสู่สภาฯ ถูกยื่นตีความอยู่ตลอด นายสุรนันทน์กล่าวว่า ถือเป็นกระบวนการถ้าการตีความนั้นเป็นการตีความที่เข้าใจในวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ที่ดีของรัฐบาล คิดว่ารัฐบาลจะได้รับความเป็นธรรมจากการตีความ และหวังว่าการตีความต่างๆ ไม่มีวาระซ่อนเร้น ขอให้เป็นไปตามเนื้อผ้า ซึ่งเชื่อว่าถ้าเป็นไปตามเนื้อผ้าคนจะเห็นความสำคัญของการลงทุน ส่วนข้อสงสัยว่ารัฐบาลจะใช้เงินถูกต้องหรือไม่ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส ในที่สุดจะต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ ศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมตลอดจนกลไกต่างๆ ที่จะมาควบคุมการเบิกจ่ายการใช้เงิน ต้องเป็นไปตามระบบระเบียบราชการทั้งสิ้น
เมื่อถามว่าในทางการเมืองถ้ารัฐบาลสามารถผ่าน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทได้ ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลหรือไม่ นายสุรนันทน์กล่าวว่า ตนมองว่าถ้าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านไปได้ ไม่ใช่ผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล แต่เป็นผลงานของประชาชนคนไทยทุกคน ถ้าทำได้มันคืออนาคตของประเทศ และถ้าประชาชนคิดว่าเราทำตรงนี้ดี เราก็คงจะขอโอกาสให้เราได้ทำงานต่อ อย่างน้อยที่สุดก็ครบเทอมไม่ต้องพูดถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่สำคัญวันนี้นายกฯบอกว่าเราลงทุนไปก่อน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าอีก 7 ปีใครจะเป็นรัฐบาล ไม่ใช่แค่ 2-3 ปีนี้ ถ้าลงทุนแล้วมีความต่อเนื่องไม่สะดุด จะทำให้อีก 7 ปีใครมาเป็นรัฐบาลคนนั้นก็จะได้ประโยชน์ จากผลงานของโครงการเหล่านี้
เมื่อถามว่า พูดเหมือนกับว่าถ้า 2 ล้านล้านบาทผ่าน รัฐบาลจะอยู่ครบเทอม เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราขอโอกาส เพราะถ้า 2 ล้านล้านบาทผ่านจะเป็นจุดเริ่มต้น และเราอยากเห็นเงินเหล่านั้นใช้ไปในทางที่ถูก มีการลงทุนถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ถ้ารัฐบาลมีความต่อเนื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็จะบอกว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นผู้เริ่ม โครงการเริ่มเข้าทิศเข้าทางก็คงพอดีกับการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งก็แล้วแต่ประชาชน ใครมาเป็นรัฐบาลก็หวังว่าจะทำงานตรงนี้ให้สำเร็จ เมื่อถามว่าบรรยากาศวันนี้คิดว่าจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ นายสุรนันทน์ กล่าวว่าไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อมั่นว่านายกฯ มีความตั้งใจที่จะทำงานให้ครบตามระยะเวลาที่ประชาชนมอบหมายความไว้วางใจมาให้ และเราเชื่อว่าเสียงในสภาเราเพียงพอที่จะทำความเข้าใจ ซึ่งไม่อยากบอกว่าเสียงในสภาฯเพียงพอที่จะดันทุรังหลายๆ เรื่อง เพราะคนก็วิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้น แต่เสียงในสภาเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนสะท้อนเสียงประชาชน และทำหน้าที่ที่จะทำให้กฎหมายต่างๆ ผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดี
เลขาธิการนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งสูงมากว่า การเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีมีความจำเป็นมาก ยอมรับว่าทุกครั้งย่อมมีค่าใช้จ่ายซึ่งทุกรัฐบาลก็มีการเดินทางซึ่งค่าใช้จ่ายไม่ได้แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การเดินทางแต่ละครั้งมีความสำคัญ โดยเฉพาะการนำนักธุรกิจร่วมคณะไปเพื่อทำความรู้จัก และสร้างความสัมพันธ์ ให้กับนักธุรกิจหลายกลุ่มที่สามารถต่อยอดให้เกิดทำธุรกิจต่อเนื่องทั้งการค้าการลงทุนได้อย่างมหาศาล ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การกลับไปสร้างเครดิตให้กับประเทศ เพราะที่ผ่านมาเครดิตของประเทศไทยถูกทำลายจากการรัฐประหารเมื่อ 7 ปีแล้ว เป็นการกลับไปสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย ซึ่งหลายประเทศไม่ได้มีการคบหาสมาคมตั้งแต่มีการรัฐประหาร วันนี้ความสัมพันธ์ได้กลับคืนมา ถือเป็นโอกาสและศักยภาพของประเทศ
“ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำเป็นเอกสารเป็นรูปเล่มเพื่อชี้แจงถึงการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี โดยจะมีการแจกจ่ายให้สาธารณชนได้รับทราบ ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมและประเมินในส่วนของผลที่วัดได้ทันที มูลค่าเพิ่มที่ได้ ผลของสัญญา ผลของบันทึกความเข้าใจ ทั้งนี้ความสัมพันธ์ที่กลับคืนมานั้นถือว่ามีมูลค่ามหาศาล คาดว่าจะสามารถแจกจ่ายได้ในช่วงปลายเดือนนี้ และต้นเดือนหน้า ช่วงที่มีการแถลงนโยบาย หรือแถลงผลงานรัฐบาลในช่วง 1 ปี และแถลงผลงานในปีที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คงจะมาติดๆกัน เอกสารดังกล่าวก็จะปรากกให้เห็นชัดเจน ในส่วนที่เป็นเอกสารสำคัญก็จะปรากฏในการแถลงผลงานของรัฐบาล” นายสุรนันทน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งมีถึง 40-100 ล้านบาทนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง การเดินทางแต่ละครั้งมีระยะทางใกล้ไกลแตกต่างกัน หากไปดูเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายโดยไม่เปรียบเทียบกับผลที่ได้รับกลับมาคงไม่ยุติธรรม และไม่ใช่เฉพาะนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่เดินทางไป สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นนายกรัฐมนตรีก็เดินทางไปต่างประเทศ สิ่งสำคัญวันนี้ต้องมองว่าประเทศไทยยืนอยู่ด้วยความภาคภูมิใจและมีความมั่นคงในสายตาชาวโลก ซึ่งถ้ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่เดินทางไปทำความเข้าใจก็คงไม่เกิดการลงทุนในประเทศเหมือนทุกวันนี้
“วันนี้ในสายตาต่างประเทศมองประเทศไทยด้วยความมั่นใจ หลายรัฐบาลแม้อยากไปแต่ไม่ได้เดินทางไป ประเทศนั้นๆ ต้องมีความมั่นใจเสียก่อน หลายประเทศในยุโรปไม่ได้เชิญรัฐบาลไทยมานานแล้ว หรือแม้เดินทางไปก็ไม่ได้พบกับผู้ใหญ่ของประเทศนั้นๆ เขาบอกเลยว่าเป็นเพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตย แต่วันนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์เข้ามาทำงาน ประเทศต่างๆก็พร้อมจะเชิญเพราะมีความมั่นใจในตัวนายกรัฐมนตรีไปพบและหารือด้วย เพื่อดูว่าเราลู่ทางในการพัฒนาศักยภาพของประเทศทั้งสองฝ่ายอย่างไร” นายสุรนันทน์กล่าว
นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความจำเป็นที่รัฐบาลต้องออกพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ.... หรือ พรบ.2 ล้านล้านบาท ว่า ที่ต้องกู้เงินนั้นเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการลงทุน เอกชนสามารถที่จะวางแผนการลงทุนที่สอดคล้องกันไปได้ และการกู้เงินในครั้งนี้มีความโปร่งใสในการใช้เงิน เพราะ ยังไม่มีการกู้เงินมารอไว้ แต่ต้องมีการพิจารณาโครงการก่อนกู้เงิน เนื่องจากหน่วยงานเจ้าของโครงการต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนตามประเภทของโครงการ เช่น การจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อก่อนเริ่มโครงการ และยังต้องผ่านการกลั่นกรองของ สภาพัฒน์ฯ สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติโครงการและจัดสรรเงินกู้ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ดังนั้น หากโครงการที่ไม่มีความพร้อมรัฐบาลจะไม่ยอมให้โครงการเหล่านี้ดำเนินการต่อได้อย่างเด็ดขาด
นายธีรัตถ์ กล่าวต่อา การกู้เงินเพื่อมาลงทุนในครั้งนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นใจ และความชัดเจนให้กับประชาชนได้ทราบว่า แนวทางการก่อสร้าง จุดสร้างสถานี ต่างๆ เป็นอย่างไร ส่งผลให้เอกชนสามารถวางแผนการลงทุนโครงการต่างๆ รวมถึงก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ให้สอดคล้องกับโครงการของภาครัฐได้ ซึ่งในต่างประเทศ การดำเนินโครงการใหญ่ๆ ภาครัฐจะดำเนินโครงการทำงานประสานกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การลงทุนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ทั้งนี้หากไม่กู้มาลงทุน รัฐบาลอาจตั้งงบประมาณเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้ แต่ใครจะให้หลักประกันว่าโครงการเหล่านี้จะสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะมีการสานต่อหรือไม่ เห็นได้จากโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต้องใช้ระยะเวลาเกือบ 30 ปีกว่าจะก่อสร้างเสร็จ ซึ่งทำให้ภาครัฐต้องเสียโอกาสในการพัฒนาและโอกาสในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว อันจะนำมาซึ่งรายได้ให้แก่ประเทศชาติ