“นายกฯยิ่งลักษณ์” หารือทีมไทยแลนด์ในสวิส ขยายโอกาสการลงทุนในสวิส-อิตาลี-มอนเตเนโกร เผยเตรียมแสดงสุนทรพจน์ในที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2556 เวลา 9.00 น.(ตามเวลาท้องถิ่น) ที่โรงแรมแกรนด์เคมปินสกี้ นครเจนีวา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้พบหารือกับภาคเอกชนและทีมไทยแลนด์ เพื่อที่จะหารือถึงการขยายโอกาสการค้าการลงทุนระหว่างไทยและสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี รวมถึงมอนเตเนโกร
นายธีรัตถ์ กล่าวว่า การเดินทางเยือนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือว่าเป็นการเดินทางเยือนสมาพันธรัฐสวิสของนายกรัฐมนตรีไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี และได้รับเชิญจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ HRC ให้เข้าแสดงสุนทรพจน์ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจะมีการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันในเด็ก สตรี รวมถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก ปกป้องสิทธิเสรีภาพ รวมถึงจะได้หารือกับองค์การการค้าโลก องค์ถัด และหน่วยงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา ขณะเดียวกันจะได้เข้าร่วมในงานเสวนาธุรกิจที่นครซูริค และจะขอให้ทางสวิสนำเข้าข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ที่ได้จดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์แล้ว รวมถึงเชิญชวนให้นักลงทุนสวิสไปลงทุนในประเทศไทยเพิ่ม
นายธีรัตถ์ กล่าวอีกว่า การเดินทางเยือนอิตาลีนั้น ถือว่าเป็นการเยือนครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีไทยอย่างเป็นทางการในรอบ 9 ปี โดยอิตาลีถือว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเข้มแข็ง อยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 8 แห่ง หรือ G8 รวมถึงมีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีแก่ประเทศไทย เพราะไทยมีวัตถุดิบที่ดี สามารถที่จะพัฒนาการออกแบบ และการสร้างแบรนด์ร่วมกัน นอกจากนี้ยังจะมีการหารือถึงความร่วมมือทางทหาร รวมถึงได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปาฟรานซิสที่นครวาติกัน ส่วนการเดินทางเยือนมอนเตเนโกร แม้เป็นประเทศเล็ก แต่เป็นประเทศที่รายได้ต่อประชากรสูง และมีโอกาสในการนำเข้าสินค้าเพิ่มจากประเทศไทย เพราะปัจจุบันมีการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 80
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ร่วมเดินทางไปกับคณะของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินทางครั้งนี้มีนักธุรกิจเกือบ 60 คนร่วมเดินทางด้วย โดยเห็นว่าการเดินทางเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ส่วนทางอ้อมคือการค้าขายที่ทำได้คล่องขึ้น สามารถสรุปยอดสั่งซื้อได้รวดเร็วมากขึ้น มีความเชื่อมั่นการค้าขายการลงทุนระหว่างกัน ทั้งนี้ก่อนการเยือนครั้งนี้ได้มีการหารือในกลุ่มต่างๆ เพื่อที่จะรวบรวมข้อมูลนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี โดยเอกชนส่วนใหญ่มีความต้องการให้เร่งการเจรจา EFTA ซึ่งเป็นเขตการค้าเสรี ที่ประกอบไปด้วย สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ เพื่อขยายมูลค่าการค้าระหว่างกลุ่มประเทศเหล่านี้ให้เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ได้บอกด้วยว่าภาคธุรกิจไทยล้วนสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในมอนเตเนโกร เพราะเป็นประตูสำคัญในการเข้าสู่หลายประเทศในคาบสมุทรบอลข่าน เช่น โครเอเชีย สโลวีเนีย บอสเนีย เซอร์เบีย ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหม่ของไทย มูลค่าการค้าระหว่างกันยังน้อย แต่มีศักยภาพสูงในการขยายการค้าระหว่างกัน
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานอาวุโสหอการค้าไทย บอกกับนายกรัฐมนตรีว่า นอกเหนือจากภาคเอกชนอยากให้มีการเจรจา EFTA แล้ว จะได้หารือกับ IMD เพื่อหาทางในการเพิ่มศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ในการสร้างตัวชี้วัดเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจของไทย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าตัวแทนของภาคเอกชนหลายสาขาได้ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการพาธุรกิจไทยไปเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศ เพราะโดยลำพังเอกชนเดินทางไปเอง อาจจะไม่ได้รับความร่วมมือ แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ไปเปิดช่องทางให้ส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ และเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทย ขณะเดียวกันได้ขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความสำคัญของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม เพราะถือว่าเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทยให้เข้าถึงตลาดต่างประเทศได้สะดวกมากขึ้น