เอเอฟพี - กลุ่มวัยรุ่นก่อจลาจลเผารถยนต์และโจมตีสถานีตำรวจท้องถิ่นตามย่านคนอพยพ รอบๆชานกรุงสตอกโฮล์ม เป็นคืนที่ 4 ติดต่อกันในช่วงค่ำวันพฤหัสบดี(23) เหตุความวุ่นวายที่กัดเซาะภาพลักษณ์ดินแดนแห่งสันติและความเสมอภาคของสวีเดน
เหตุจลาจลครั้งนี้จุดชนวนการโต้เถียงในสวีเดน เกี่ยวกับการรับคนอพยพเข้าเมือง ซึ่งตอนนี้คิดเป็นจำนวนราวร้อยละ 15 ของประชากรทั้งหมดของประเทศ โดยส่วนใหญ่มักมีปัญหาในการเรียนรู้ภาษาและหางานทำ แม้รัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือต่างๆนานาก็ตาม
หน่วยดับเพลิงเผยว่าในช่วงค่ำของวันพฤหัสบดี(23) ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ราว 90 จุดและส่วนใหญ่เป็นฝีมือของพวกก่อจลาจล ขณะที่ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ก็มีกลุ่มคนร้ายปาก้อนหินใส่สถานีตำรวจท้องถิ่นในย่านคิสตา ใกล้ๆกับย่านฮัสบี จุดที่พวกวัยรุ่ยเริ่มก่อจลาจลในค่ำคืนวันอาทิตย์(19)
ขณะเดียวกันมีรายงานว่าสถานีตำรวจท้องถิ่นอีก 2 แห่งทางใต้ของกรุงสตอกโฮล์ม ก็ถูกขว้างปาด้วยก้อนหินเช่นกัน ส่วนที่ย่านสโคกาส ทางใต้ของเมืองหลวง มีร้านอาหารแห่งนี้ได้รับความเสียหายยับเยินหลังโดนวางเพลิง "เรากำลังเป็นเหมือนประเทศอื่นๆเข้าไปทุกที" อาเย คาร์ลบอม นักมนุษยวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัยมัลโมกล่าว
เชื่อกันว่าปัญหานี้จุดชนวนมาจากเหตุตำรวจยิงชาวบ้านวัย 69 ปีที่พักอาศัยในย่านฮัสบี เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังชายคนดังกล่าวกวัดแกว่งมีดดาบในที่สาธารณะและมีท่าทางก่ออันตรายแก่คนอื่นๆ จากนั้นชายรายนี้ก็หนีไปยังอพาร์ทเมนต์ แต่เหตุการณ์ก็ยุติลงด้วยการที่เขาถูกตำรวจยิงตาย โดยตำรวจอ้างว่าที่ต้องลงมือเพราะปกป้องตนเองและพยายามประนีประนอมกับผู้ต้องสงสัยอย่างที่สุดแล้ว
นักเคลื่อนไหวท้องถิ่นระบุว่าเหตุวิสามัญครั้งนี้จุดชนวนความโกรธเคืองในหมู่วัยรุ่นที่อ้างว่าต้องเจ็บปวดจากพฤติกรรมอันเหี้ยมโหดของตำรวจอยู่บ่อยครั้ง พร้อมอ้างระหว่างค่ำคืนแห่งการจลาจลในคืนแรก พวกเขาถูกตำรวจตะโกนด่าและเหยียดผิวต่างๆนานา อาทิ พวกจรจัด ไอ้ลิงดำและนิโกร
รายงานข่าวระบุว่าจนถึงตอนนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว 2 รายระหว่างเหตุจลาจลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ในนั้นเป็นตำรวจหนึ่งนาย อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่ไม่เลวร้ายอย่างที่เป็นข่าว "แน่นอนว่าการมีผู้ได้รับบาดเจ็บคือเรื่องน่าเศร้า และรถยนต์แต่ละคันที่ถูกวางเพลิงคือความล้มเหลวของสังคม แต่สตอกโฮล์มไม่ได้ถูกเผา กรุณามองสถานการณ์ด้วยความสุขุมรอบคอบ"
สวีเดนนับเป็นหนึ่งในประเทศจุดหมายปลายทางของเหล่าคนอพยพลำดับต้นๆของยุโรป ด้วยทศวรรษที่ผ่านมามีผู้อพยพขอเข้ามาพักพิงในดินแดนแห่งนี้หลายแสนคน ในนั้นรวมถึงชาวอิรัก อัฟกานิสถาน ซีเรีย โซมาเลียและผู้คนในชาติแถบคาบสมุทรบอลข่าน ขณะเดียวกันนี่ก็ไม่ใช่หนแรกของสวีเดน ที่เกิดเหตุก่อจลาจลในหมู่ผู้อพยพ
ในปี 2010 กลุ่มวัยรุ่นกว่า 100 คน ขว้างปากิ่งไม้ จุดไฟเผาและโจมตีสถานีตำรวจในรินเคอบี อีกหนึ่งย่านที่มีผู้อพยพพักอาศัยอยู่หนาแน่น 2 คืนติดต่อกัน และในปี 2008 แก๊งวัยรุ่นนับร้อย ก็ก่อจลาจลและปะทะกับตำรวจในเมืองมัลโม จนต้องปิดศูนย์วัฒนธรรมอิสลามในย่านโรเซนการ์ด อันเป็นที่ตั้งอยู่มัสยิดแห่งหนึ่ง
นายเฟรดริค ไรน์เฟลดท์ นายกรัฐมนตรีสวีเดนเมื่อวันพุธ(22) กล่าวโทษเหตุรุนแรงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าเป็นฝีมือของพวกฮูลิแกน และในวันพฤหัสบดี(23) ก็เสริมว่าบุคคลกลุ่มนี้ไม่ใช่ตัวแทนของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่เหล่านั้น ขณะที่ทาง เอริค อุลเลนแฮง รัฐมนตรีกระทรวงคนเข้าเมือง ชี้ว่าปัจจัยที่สนับสนุนความรุนแรงคือตัวเลขคนว่างงานระดับสูงและปัญหาการกีดกันทางสังคมในย่านต่างๆที่ตั้งมีผู้อพยพพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
"เรารู้ว่ามีการเลือกที่รักมักที่ชังในพื้นที่ต่างๆเหล่านั้น เหตุการณ์นี้นอกจากไม่ช่วยปรับปรุงภาพลักษณ์แก่ย่านต่างๆเหล่านั้นแล้ว ตอนนี้ยังต้องมามัวหมองเข้าไปอีก แม้พื้นที่ดังกล่าวเคยมีเรื่องราวดีๆมากมายก็ตาม" นายอุลเลนแฮง ระบุ ขณะที่ข้อมูลอย่างเป็นทางการพบว่าเฉพาะในย่านฮัสบี มีอัตราคนว่างงานสูงถึงร้อยละ 8.8 ขณะที่อัตราคนว่างงานโดยรวมของกรุงสตอกโฮล์ม มีอยู่แค่ร้อยละ 3.3 เท่านั้น
