เกาะกระแส
00 บ้านเมืองกำลังเข้าสู่จุดเดือดเข้าไปทุกที ส่วนสำคัญที่สุดเป็นความ "ไม่เอาไหน" ความห่วยของ "ผู้นำรัฐบาล" คือ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยิ่งไปกว่ากว่านั้นรวมไปถึงคนที่ผลักดันเธอให้มาสู่ตำแหน่งนี้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าน้องสาวของตัวเอง "มีสติปัญญา"แค่ไหน แต่ด้วยความ "เห็นแก่ตัว" ไม่ยอมให้ใครมาแบ่งอำนาจและผลประโยชน์จึงต้องดันทุรัง "เชิด"กันต่อไป จนทำให้เกิดความเสียหายให้กับบ้านเมืองอย่างที่เห็น เพราะคุณสมบัติของคนที่เป็นผู้นำ คนที่เป็นนายกฯต้องมีติดตัวบ้าง อย่างน้อยต้องสามารถตอบคำถามโต้ตอบกับสื่อ พูดจากับผู้นำต่างประเทศแบบเฉพาะหน้าแบบมีภูมิความรู้และข้อมูลแม่นยำ ไม่ใช่อ่านแต่โพย หรือแม้แต่อ่านก็ยังผิดๆถูกๆ จนทำให้คนอื่นพลอยต้องลุ้นหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งเวลาที่ต้องให้สัมภาษณ์ หรือขึ้นเวทีกล่าวในวาระสำคัญหรือไม่ก็ตาม
00 เหตุการณ์บ้านเมืองในเวลานี้กำลังปั่นป่วน เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจกำลังมีปัญหาเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย เป็นเพราะรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลขาดประสบการณ์ขาดความรู้และขาดการวางแผนล่วงหน้า มีแต่ใช้นโยบายประชานิยม"แบบมักง่าย" ผลาญเงินไปเพื่อแลกคะแนนเสียง จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปเชิญที่นำมาใช้เริ่มหมด หรือรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ซึ่งก็มีผลพวงมาจากนโยบายประชานิยมที่หันมารัดคอตัวเองนั่นแหละจนไม่เกิดรายได่หรือไม่เข้าเป้า อย่างที่เห็นก็คือผลกระทบจากนโยบายรถคันแรก ที่กไลังหลายเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้"เศรษฐกิจหดตัว" หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจภายนอกซบเซามันก็ยิ่งส่งผลกระทบเป็นแรงบวก เพราะไทยเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจจากการส่งออกถึงประมาณร้อยละ 70 มันก็เลยอ่วม
00 ปรากฎการณ์ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำทุกรายการ แต่ที่กำลังโกลาหลกันอยู่ในเวลานี้ก็คือราคายางพาราตกต่ำ จนเกิดการประท้วงให้รัฐบาลเข้ามาประกันราคา แต่รัฐบาลกลับไปช่วยเรื่องค่าปุ๋ย เพ้อฝันเรื่องตั้งโรงงานแปรรูปเพิ่มมูลค่า รวมไปถึงการคุยโม้ว่ากำลังตกลงกับจีนเพิ่มการรับซื้อมาแปรรูปสารพัด แต่ความหมายก็คือมันคนละเรื่อง คนละประเด็น เพราะส่องที่ชาวบ้านเขาต้องการคือการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ส่วนเรื่องอื่นนั้นเอาไว้ทีหลัง และสมควรทำมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เพอ่งมาคิดเอาตอนนี้ แล้วถามว่าที่จะช่วยเรื่องค่าปุ๋ยไร่ละ 1,260 บาทแล้วมันจะทั่วถึงหรือปล่า เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก กว่าจะลงทะเบียน ต้องพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของจริงหรือเปล่า แล้วทีนี้เมื่อเจ้าของสวนได้ แล้วคนที่รับจ้างกรีดยางละไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร โอ้ย มั่วไปหมด !!
00 ที่ผ่านมา รมว.เกษตรฯ จากพรรคชาติไทยฯ ยุคล ลิ้มแหลมทอง ยืนยันมาแบบนี้อย่างเดียว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ยืดหยุ่น ท่องอยู่อย่างเดิมว่าราคาต้องเป็นไปตามกลไกตลาด ที่ผ่านมามีสต็อกล้นขาดทุนมาเยอะแล้ว แต่ปัญหาก็คงไม่นำไปสู่อารมณ์เดือดดาล เพราะถัดไปอีกด้านหนึ่งมติครม.ชุดเดียวกันนั่นแหละดันไป "แทรกแซงกลไกตลาด"ด้วยการรับซื้อข้าวนาปรังฤดูกาลใหม่ในราคาตันละ 15,000 บาท ส่วนนาปรังตันละ 13,000 บาท ตั้งงบรองรับไว้เกือบสามแสนล้านบาท ไม่ต้องสนใจว่าจะขาดทุนอีกเท่าไหร่ นี่แหละเขาเรียกว่า "เลือกปฏิบัติ" ซึ่งนาทีนี้ไม่ต้องมาสาธยายซ้ำสังคมรับรู้กันไปแล้ว และที่สำคัญไม่เคยมีคนที่มีอำนาจตัดสินใจลงไปเจรจาด้วยตัวเอง ล่าสุด รมว.คลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็เพิ่งโผล่หัวออกมา ทุกอย่างมันสายไปแล้ว เพราะความโกลาหล ความเสียหายบานปลายแล้ว และที่น่าสังเกตก็คือช่วงที่ชาวสวนยางทั้งในภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสานทั่วประเทศกำลังเดือดร้อนเรื่องราคาตกต่ำอยู่นั้น คนที่เป็นตัวการหนุนให้เพิ่มพื้นที่ปลูกยาง 1 ล้านไร่อย่าง ทักษิณ ชินวัตร มันหายหัวไปไหนวะ !!
00 สิ่งที่น่าเป็นห่วงเวลานี้ก็คือความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่มองว่ารัฐบาลเลือกปฏิบัติกับชาวสวนยางและชาวสวนปาล์ม ทั้งที่ตามสถิติยางเคยส่งออกทำรายได้นับแสนล้านบาท ไม่ได้น้อยหน้ากว่าข้าว เมื่อไม่ได้รับการเหลียวแล หรือเมื่อได้ยินการให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีแข็งกร้าวของ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่จ้องคอยจังหวะสลายการชุมนุมท่าเดียว มีนก็ยิ่งเพิ่มอุณหภูมิความโกรธ ระวังสถานการณ์จะพัฒนาไปสู่ระดับที่รัฐมีอำนาจแต่ปกครองไม่ได้ ถึงตอนนั้นก็จะมานั่งเสียใจ และหากไม่รีบยุติปัญหาให้ตรงจุดมันก็น่าห่วง !!