หน.ปชป.อ้างปรับโครงสร้างพรรคตั้งแต่ปี 55 เพื่อให้บริหารงานมีประสิทธิภาพเน้นการเลือกตั้ง ช่วย ส.ส.ทำงานพื้นที่ เข้าถึง ปชช. ไม่กระทบงานนอก-ในสภา ไม่เกี่ยวสื่อ ตปท.วิเคราะห์ ชี้ต้องปรับไม่งั้นอยู่ไม่ได้ ขอความเป็นธรรม ส.ส.เดือดเหตุ ปธ.สภาฯฝืนฟอกผิดนาย ข้องใจทำไหมไม่วิจารณ์ พร้อมคุย “เติ้ง” ชวนปาหี่ ย้ำจุดยืนเดิม ไม่ปิดประตูตาย แนะฟัง ปชช.หาทางออกชาติอย่าฟังแต่นักการเมืองเก่า
วันนี้ (29 ส.ค.) ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับโครงสร้างพรรคว่า ไม่เกี่ยวกับกรณีที่มีสื่อต่างประเทศวิเคราะห์เรื่องของพรรค เพราะเราได้ทำมาตั้งแต่ปี 55 แล้วว่าจะปรับปรุงข้อบังคับพรรคและองค์กร ซึ่งบางเรื่องทำได้ทันทีก็ทำ อาทิ โครงสร้างสำนักงาน บางเรื่องต้องแก้ข้อบังคับพรรคก็ให้ทีมกฏหมายไปยกร่าง การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะทำให้พรรคคล่องตัวในการบริหารและจัดการงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะการเลือกตั้ง ที่เราต้องพร้อมอยู่ตลอด หากโครงสร้างใหม่นี้ทำงานได้เร็ว มีความพร้อมในพื้นที่ให้คล่องตัวขึ้นก็ดีกว่า คือช่วย ส.ส.ทำงานในพื้นที่ได้มากขึ้น รวมถึงการสื่อสารจากส่วนกลางเพราะพรรคมีสาขามากขึ้นต้องเข้าถึงประชาชนให้มากขึ้นโดยต้องเปิดโอกาสให้ ส.ส.ของพรรคมีส่วนร่วมด้วย แต่ต้องไม่กระทบกับงานทั้งในและนอกสภาในช่วงนี้ โดยจัดลำดับความสำคัญซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของชาติบ้านเมืองสำคัญกว่า ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารพรรคยอมรับว่าสถานการณ์การเมืองไม่แน่นอนสูง
เมื่อถามว่าการปฏิรูปพรรคครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาพรรคแพ้การเลือกตั้งใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทุกองค์กรต้องปรับปรุงใครที่ไม่ปรับก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งการจะชนะการเลือกตั้งต้องปรับงานแต่ละพื้นที่ เช่น ภาคอีสานจะเน้นทำงานรูปแบบหนึ่งในระยะยาว เมื่อถามต่อว่าต้องปรับพฤติกรรม ส.ส.ของพรรคหรือไม่ที่สังคมมองว่าก้าวร้าวมากขึ้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เมื่อมีประเด็นที่ต้องต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม บางครั้งยอมรับว่ามีเหตุการณ์ปลีกย่อยที่เกินเลยไป แต่หากไม่มีการต่อสู้ ไม่ทักท้วงเลย ก็ไม่ทราบว่าบ้านเมืองจะไปสู่จุดไหน อย่างไร จึงต้องขอความเป็นธรรมว่า เมื่อเกิดพฤติกรรมความขัดแย้งก็ต้องดูต้นเหตุว่าเกิดจากอะไร ตนอยู่มา 20 ปีไม่เคยเห็นประธานสภา ที่มีคนยกมือ แต่กลับบอกว่าไม่มีใครติดใจแล้วให้ลงมติไปเลย เพราะหากทำต่อไปอีกก็ไม่จำเป็นต้องมีสภา ตนได้กำชับลูกพรรคไปแล้ว แต่ที่แปลกคือ ทำไมเราไม่วิจารณ์ในความไม่เป็นธรรมที่ประธานใช้อำนาจไม่ถูกต้อง เพราะระบบสภาที่กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลบล้างความผิด คำพิพากษาศาล เราพยายามต่อสู้กับการทุจริตแต่ก็มีคนไปพยายามล้างความผิดที่ทุจริต อย่างนี้บ้านเมืองก็เดินไม่ได้
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ระบุจะขอพบเพื่อทาบทามให้เข้าร่วมสภาปฏิรูปการเมือง ตามที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลภาพรวมในเรื่องนี้จากนายกฯ ว่า ยังยืนยันจุดยืนเดิม แต่หากมาพูดคุยก็จะเรียนตรงๆ เกี่ยวกับที่มาของปัญหาที่เกิดจากรัฐบาล และรัฐบาลเองต้องเป็นผู้ปลดความขัดแย้ง พร้อมมองว่าควรเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนก่อน อย่างเช่นเรื่องราคายางที่รัฐบาลประกาศแนวทางจะไม่แทรกแซงกลไกตลาดทั้งที่สามารถทำได้ แต่หากจะดำเนินแนวทางการปฏิรูปก็ควรเอาผลการศึกษาการปฏิรูปประเทศที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน และนพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานมาใช้ ส่วนที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ตนยอมลดเงื่อนไขในการคุยรัฐบาลจากการถอนร่างนิรโทษกรรม เหลือเพียงการชะลอร่างนั้น ยืนยันว่าตนได้ระบุเงื่อนไขนี้มากว่า 2 สัปดาห์แล้ว ซึ่งสิ่งที่นายอลงกรณ์ระบุเป็นจากอ้างอิงจากสิ่งที่ตนเคยพูดไว้ แต่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลปฏิเสธแนวทางดังกล่าวโดยระบุว่า ไม่ต้องพูดถึงอดีต ให้พูดถึงอนาคตทั้งที่เกี่ยวเนื่องกันว่าต้นเหตุจากอะไร ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยปิดประตูตายในเรื่องนี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ส่วนการจัดเวทีเสวนาปฏิรูปของพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นรูปแบบที่เคยเสนอต่อรัฐบาล คือควรมีการแลกเปลี่ยนกับภาคประชาชนในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ และความเป็นธรรม แต่รัฐบาลปฏิเสธในเรื่องนี้ และมองว่ารัฐบาลไม่มีความจริงในในการปฏิรูปประเทศ เพราะโจทย์ใหญ่อยู่ที่ความโปร่งใสและการปรองดอง แต่รัฐบาลยังปล่อยให้มีการทุจริตและความแตกแยกในหมู่ประชาชน รวมถึงยังเอานักการเมืองเก่ามาพูดคุยในสภาปฏิรูปเป็นหลัก แต่ไม่ได้เอาความเห็นภาคประชาชนมาแลกเปลี่ยนหาทางออกให้ประเทศ โดยในส่วนของพรรคจะรวมความเห็นทุกภาคส่วนและผลสรุปของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุดต่างๆก่อนหน้านี้ก็อยู่รวมในแบบร่างพิมพ์เขียวประเทศที่พรรคดำเนินการอยู่แล้ว โดยเชื่อว่าจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน