“สุรนันทน์” อ้างเศรษฐกิจไทยไม่ได้ถดถอย แค่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว เหตุวิกฤตเศรษฐกิจโลกกระทบส่งออก
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยยังไม่เกิดปัญหาถดถอย แต่เป็นเพียงการเติบโตชะลอตัวลงกลับสู่ภาวะปกติ หลังจากที่มีการรายงานข่าวว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 มีอัตราการขยายตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าลดลง 0.3% โดยเป็นการหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าติดต่อกัน 2 ไตรมาส จนทำให้เกิดความเข้าใจว่าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ วิเคราะห์ได้ทั้งในรูปแบบเปรียบเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยถ้าวิเคราะห์แบบปีต่อปีแล้ว เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 5.4% ในไตรมาสแรก และ 2.8% ในไตรมาสที่ 2 ดังนั้น เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวอยู่ แต่ในอัตราที่ลดลง หรือชะลอตัวลง ซึ่งการชี้นำว่าเศรษฐกิจไทยถดถอยนั้น เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลเพียงบางส่วน ทำให้เกิดการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยนำเสนอเพียงตัวเลขแบบไตรมาสต่อไตรมาสเท่านั้น
นายสุรนันทน์อธิบายสาเหตุของตัวเลขของไตรมาสที่ 1/2556 และไตรมาส 2/2556 ปรับตัวลดลงนั้นสะท้อนการปรับตัวของเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติมากยิ่งขึ้น โดยมาจาก 3 ปัจจัย คือ 1. กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมรถยนต์ลดลงจากปี 2555 ที่สูงกว่าปกติไปมาก สู่ภาวะปกติ จึงไม่ได้เป็นการถดถอยของเศรษฐกิจอย่างที่ถูกกล่าวหา 2.การเบิกจ่ายงบประมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2556 (ต.ค.-ธ.ค. 2555) หรือไตรมาสที่ 4 ของปีปฏิทินปี 2555 ซึ่งเป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจและปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติในไตรมาสต่อมา และ 3. วิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะ EU และสหรัฐอเมริกา ยังส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยและภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
เลขาธิการนายกฯ กล่าวว่า ในอดีตการติดลบของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบไตรมาสต่อไตรมาส เคยเกิดขึ้นมาแล้วในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 และไตรมาสที่ 1 ของปี2552 โดยติดลบ 4.8% และ 2.6% ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากการติดลบในช่วงนี้ เพราะครั้งนี้ เป็นการปรับตัวจากฐานที่สูงมากในไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 เพื่อเข้าสู่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระดับปกติ แต่เมื่อปี 2552 เกิดจากการที่เศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะปกติแล้วลดลงสู่ระดับที่ต่ำผิดปกติ
นายสุรนันทน์กล่าวว่า ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เกิดการชะลอตัวมีเพียงการส่งออกเท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหภาพยุโรป หรืออียู และสหรัฐอเมริกา ที่มีผลกระทบเป็นวงกว้าง เพียงแต่ที่ผ่านมาระบบเศรษฐกิจไทย จะพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงเน้นการดำเนินนโยบายที่สนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินภายในประเทศ เช่น นโยบายการสนับสนุน OTOP และ SMEs สร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนของประชาชนทุกระดับ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านทางโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและลดความเหลื่อมล้ำแล้ว ยังสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย