xs
xsm
sm
md
lg

“ธาริต”ยก “ปู”ประมุขประเทศ “รัฐไทยใหม่”จึงไม่ใช่จินตนาการ

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว
 
 ถ้าจะหาความดีจากระบอบทักษิณก็คงจะมีตรงที่ มันเปลือยกายคนชั่วให้สังคมไทยได้เห็นกันอย่างล่อนจ้อน หมดเปลือก ไม่ต้องเหลือความละอายใด ๆ ในฐานะคนมียางอีกต่อไป

เพราะยิ่งเลียยิ่งได้ดี ยิ่งเลวยิ่งเข้าตา ยิ่งชั่วยิ่งเป็นใหญ่

คนไทยจึงได้เห็น “ด้านมืด”ของสังคมที่ซุกซ่อนมานานว่ามันกำลังกลายเป็นราหูอมจันทร์ทำให้บ้านเมืองอยู่ในความมืดมิดในระยะเวลาอันใกล้นี้ 

หากยังปล่อยให้ตระกูลโกงจนชิน กินเป็นกิจวัตร บริหารประเทศต่อไป เยาวชนรุ่นใหม่คงสะกดคำว่า ศีลธรรม จรรยา ความละอายต่อบาปไม่ได้ และคงจะกลายพันธุ์เป็นมนุษย์พิเศษที่พูดความจริงไม่เป็น ทำได้แต่ความเท็จ ละโมภ โลภมาก เห็นแก่ตัว ไม่เคารพกฎหมาย

“ตระกูลชิน” จะกลายเป็นครอบครัวที่ไม่มีใครบังอาจมาแตะต้องได้อีกต่อไป หรืออาจมีการออกกฎหมายใหม่กันให้ชัดเจนเลยว่า 
ใครวิจารณ์ตระกูลชินติดคุก ตระกูลชินคือความถูกต้อง

 เราจะยอมให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้หรือเปล่า เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทีึ่คนไทยต้องเลือก เป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่จะชี้ชะตาบ้านเมืองว่าเราจะก้าวไปสู่ความ “ศิวิไลซ์” หรือกลายเป็น “บ้านป่าเมืองเถื่อน” ที่รอคอยวันล่มสลาย

อาการทางจิตของคนทางไกลดูเหมือนว่าจะหนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแสดงออกด้วยพฤติกรรมแปลก ๆ เช่น ชกมวยโชว์ว่ายังแข็งแรง ตรงกันข้ามกับสภาพทรุดโทรมทางร่างกายที่ปรากฏเห็นชัดได้ด้วยตาเปล่า

คนฟุ้งซ่านที่มีแต่ความละโมบ โลภมาก เต็มไปด้วยแรงอาฆาตพยาบาท และความมักใหญ่ใฝ่สูงหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่จะฮุบประเทศไทย จนส่งผลให้สังคมไทยปั่นป่วนไม่หยุดอยู่ในขณะนี้

  “รัฐไทยใหม่”ที่เคยประกาศจะสถาปนากันตั้งแต่วันเผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 2553 ดูจะฝังลงไปที่ก้นบึ้งของหัวใจบรรดาขี้ข้าแบบซึมลึก ทำให้ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอถึงกับยกย่อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็น “ประมุขของประเทศ”

ทำเอาถูกสวดยับทั้งในโลกออนไลน์และในสังคมแห่งความเป็นจริง เพราะไม่มีใครเชื่อว่าคนที่จบเนติบัณฑิตไทยเป็นถึงอธิบดีดีเอสไอ เคยทำเรื่องขบวนการล้มเจ้ามากับมือและยืนยันมีคลิปเป็นหลักฐานว่า “คนพวกนี้ถักทอแบ่งงานกันทำ ผมยืนยันเลยว่าขบวนการล้มเจ้ามีจริง” 

 แล้ว “ธาริต” จะไม่รู้หรือว่ารัฐธรรมนูญไทยมาตรา 2 บัญญัติไว้ว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ยังกล้าพูดเต็มปากเต็มคำเสียงดังฟังชัดเพื่อให้ได้ยินไปถึงนายเผื่อจะได้ปูนบำเหน็จกันอย่างสาสม
ว่า “รัฐไทยใหม่” ได้ก่อกำเนิดขึ้นแล้วโดยกำลังกลืนกินประเทศไทยอย่างช้า ๆ มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประมุขแห่งรัฐนี้

นี่ใช่ไหมความฝันเกินใฝ่ที่ทำให้ทุกคดีที่ทักษิณฟ้องหมิ่นประมาทคนกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบัน หรือความอยากที่จะเป็นประธานาธิบดี ศาลอุทธรณ์จึงให้ยกฟ้องหมดทุกคดี ทั้งคดีของสุเทพ เทือกสุบรรณ และล่าสุดคดีสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ศาลได้บรรยายคำพิพากษาให้เห็นภาพได้ชัดเจนถึงพฤติกรรมของเจ้าตัวว่ามิได้เทอดทูนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยังมีการปลุกปั่นยุยงกลุ่ม นปก. จนเกิดเหตุการณ์บุกบ้าน “ป๋าเปรม” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่า

ถือเป็นการกระทำที่กระทบกระเทือนต่อเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงแต่งตั้งพลเอกเปรมด้วย เมื่อโจทก์เป็นผู้ให้การสนับสนุน นปก.อยู่ จึงอาจทำให้คนทั่วไปคาดคิดได้ว่าโจทก์มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของกลุ่ม นปก.ดังกล่าว โดยภายหลังเกิดเหตุคดีนี้ปรากฏตามแผนผังโครงข่ายจาบจ้วงสถาบันเอกสารหมาย ล.34 ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นำออกเผยแพร่ว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสอดคล้องกับกรณีที่มีการกล่าวหาโจทก์ดังกล่าวมาแล้วทั้งหมดข้างต้น 

จากพฤติการณ์ของโจทก์ประกอบกับสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมาย่อมมีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้พสกนิกรชาวไทย ซึ่งรวมถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ที่มีจิตใจเลื่อมใสศรัทธาเคารพเทิดทูนและจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เห็นไปได้ว่าโจทก์กระทำการจาบจ้วงดูหมิ่นและต้องการโค่นล้มพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโจทก์ทำตัวเหมือนพระเจ้าแผ่นดิน และทำตัวเหนือองคมนตรี

การที่จำเลยที่ 1 กล่าวถ้อยคำต่อโจทก์ในลักษณะดังกล่าวข้างต้น จึงถือได้ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3) 
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยในตอนนี้จึงเป็นรอยต่อแห่งยุคสมัยอย่างแท้จริง การที่ ธาริต ออกมาแถว่าคำพูดที่เรียกยิ่งลักษณ์ว่า เป็นประมุขของประเทศนั้น เป็นการอ้างจากศัพท์ทางรัฐศาสตร์ ว่าด้วยอำนาจ 3 ฝ่ายของบ้านเมือง คือ บริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ ซึ่งฟังแล้วน่าเอน็จอนาจใจเป็นอย่างยิ่ง กับความไม่ละอายที่จะโกหกอย่างหน้าด้าน ๆ 

เพราะคำที่ ธาริตใช้นั้นคือ “ประมุขของประเทศ” ไม่ใช่ “ประมุขของฝ่ายบริหาร” แถมคดีที่รับไว้เป็นคดีพิเศษก็เป็นแค่เรื่องการตัดต่อภาพป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรีจากจุดชมช้างป่า กระทิง มาเป็น เสือ สิงห์ กระทิง และภาพยิ่งลักษณ์ยิ้มแป้นอยู่ข้างคำว่า กระทิง เท่านั้น 

ไม่มีคำต่อท้ายว่า “แรด” อยู่ที่ตรงไหนเลย นอกจากตัวยิ่งลักษณ์ที่ยืนอยู่ในบริเวณดังกล่าวเท่านั้น

ถ้าคนที่อดรนทนไม่ไหววิ่งแร่ไปแจ้งความดำเนินคดีกับ มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ว่าดูหมิ่นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นภัยต่อความมั่นคง ย่อมแสดงว่า “คนที่ไปแจ้งความ”ก็คือคนที่ดูหมิ่นนายกรัฐมนตรีว่าเป็น “แรด” และ ธาริต ก็เห็นพ้องด้วยจึงรับที่จะเอาเรื่อง “แรด ๆ” มาเป็นคดีพิเศษ ในขณะที่ไม่ยอมรับทำคดีทุจริตจำนำข้าวที่ผลาญเงินชาติไปแล้ว 7.6 แสนล้านบาท
 แต่รับจ๊อบเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ในทุกคดี ตั้งแต่คดีเงินบริจาคเข้าพรรค 2 หมื่น ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองยุติเรื่องไปแล้ว แต่ดีเอสไอยังไม่หยุดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมาย แถมยังมีคดีอีสวอเตอร์บริจาคเงินน้ำท่วม พ่วงอยู่ด้วย รวมไปถึงการตั้งธงให้ อภิสิทธิ์ - สุเทพ เป็นฆาตกรด้วยการส่งฟ้องคดีเอง ทั้ง ๆ ที่หากบุคคลทั้งสองกระทำผิดจริงอำนาจที่จะส่งเรื่องไปสู่กระบวนการยุติธรรมให้ตัดสินคือ ป.ป.ช. มิใช่ดีเอสไอ

คำโบราณที่ว่า “ข้าเก่าเต่าเลี้ยง” จึงใช้ได้กับ ธาริตแบบเห็นภาพชัดเจนยิ่ง เพราะแนบแน่นกับระบอบทักษิณมาตั้งแต่ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย  ทำงานใกล้ชิดกับ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกในขณะนั้น

ไต่เต้าได้ดีไปเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ ก่อนขึ้นชั้นเป็น เลขา ป.ป.ท. และด้วยความที่รับใช้ได้อย่างสุดตีน ธาริต ก็ได้ขึ้นเป็นอธิบดีดีเอสไอในยุคที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และจนถึงปัจจุบันก็ยังตีนเหนียวยิ่งกว่าตุ๊กแกในตำแหน่งเดิม

ดูเหมือนว่าสิ่งที่สังคมมองว่า ธาริต เลวนั้น กลายเป็นรากฐานให้ตำแหน่งของเขามั่นคงมากขึ้น ในขณะที่ความเป็นมนุษย์เสื่อมถอยลงจนแทบไม่เหลือความเป็น “คน” 

ที่น่าจับตาอย่างยิ่งคือ คนประเภทธาริตที่มีตำแหน่งอยู่ในจุดตั้งต้นของกระบวนการยุติธรรม ปวารณาตัวเป็น “ขี้ข้า” ทักษิณ กันอย่างโจ่งแจ้ง นั่นย่อมหมายถึงว่า การบังคับใช้กฎหมายในบ้านเมืองนี้อยู่ในเงื้อมมือของ ทักษิณ ชินวัตร เกือบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว

สงครามของผู้ที่ยังยืนหยัดว่าต้องอยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ถึงขนาดชิงบ้านชิงเมืองกันในอนาคตอันใกล้จึงไม่ใช่เรื่องจินตนาการ เพราะฝ่ายที่ต้องการโค่นล้มเพื่อสถาปนาตัวเองให้ยิ่งใหญ่นั้นไม่เพียงแต่มีอำนาจรัฐในมือเท่านั้น ยังสะสมกำลังนอกกฎหมายไว้อย่างเต็มพิกัดอีกด้วย

 แต่เชื่อเถอะว่า บาป บุญ คุณ โทษ มีจริง ประเทศไทยจะไม่อยู่ใต้อุ้งตีนของขบวนคนชั่วอีกนานนักหรอก และบรรดาขี้ข้าทั้งหลายก็เตรียมต่อคิวรอรับกรรมเข้าคุกกันได้เลย
กำลังโหลดความคิดเห็น