ข่าวปนคน คนปนข่าว
“สิงหาฯเมืองไทยถึงจุดเดือด”ดูเหมือนว่ามีเค้าลางที่จะเป็นจริงมากขึ้น
เมื่อนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร กดปุ่มแตกหักจากแดนไกล ยึด“ความต้องการ”แบบคน “ไร้อุดมการณ์” ให้บรรดาขี้ข้า ผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่กำลังจะเปิดในวันพฤหัสบดีที่ 1 ส.ค. 56 โดยมีกำหนดชำเราประเทศ “ล้างผิดคนทุจริต-เผาบ้านเผาเมือง”ในวันที่ 7 ส.ค. 56
แต่ปฏิทินการเมืองที่ออกตามใบสั่งของนักโทษชายทักษิณ เป็นจุดยืนของพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลนั้น อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่างที่บอกไปแล้วว่า สันดานนักโทษชายมีแต่ “ความต้องการ”หามี “อุดมการณ์” ไม่
ดังนั้น ไอ้ที่ว่าแน่อาจจะไม่แน่ ไอ้ที่ว่าไม่ก็อาจจะใช่ และสุดท้ายไอ้ที่คิดว่าใช่มันก็อาจไม่ใช่ก็ได้
สรุปคือ มันทำได้ทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการ ตอบโจทย์ผลประโยชน์สูงสุดทางการเมืองของตัวเอง ตั้งแต่ “แตกหัก”กับ “สังคมไทย”
เพราะเห็นว่าคนต้านมีจำนวนน้อยนิด หรือ อาจกลับลำ 360 องศา ไม่เดินหน้าต่อ หากประเมินว่าคนเห็นต่างมีพลังมากกว่าที่คิด เหมือนกับที่ไม่กล้าทำประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 หลังจากเคยโม้ไว้ว่า ประชามติ 24 ล้านเสียงเป็นเรื่อง “หมู” สุดท้ายเจอหมูป่าเขี้ยวตันเข้าเลยเงียบกริบ ไม่กล้าท้าทายเสียงส่วนใหญ่ของประเทศอีก
ถัดมาก็ฮึ่ม ๆ คำรามใส่ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะให้เกิดศึกทางอำนาจระหว่าง ตุลาการและนิติบัญญัติ โดยส่งซิกให้ลิ่วล้อโหวตวาระสามสวนคำแนะนำศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ไปทำประชามติก่อนฉีก ร่าง รธน.ฉบับประชาชนที่ผ่านการลงประชามติ
สุดท้ายก็ใส่เกียร์ถอย ปล่อยให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 คาอยู่ในสภาโดยยังไม่มีการโหวตวาระสามแต่อย่างใด จากนั้นก็หันมาเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราแทน
ดังนั้นปฏิทินการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย ตามใบสั่งของนักโทษหนีคดีจึงไม่มีอะไรแน่นอน
ที่บอกว่าจะพิจารณาร่างกฎหมายของวรชัย ในวันที่ 7 ส.ค.56 ก็อาจร่นขึ้นมาเร็วขึ้น เพื่อให้ฝ่ายเห็นต่างตั้งตัวไม่ทัน ด้วยการเสนอให้มีการยกเว้นข้อบังคับการประชุม แล้วนำเอาร่างของวรชัย มาพิจารณาหักดิบกันไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด
กรณีนี้คงต้องดูคนที่นั่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมเป็นหลัก หากเป็น “ตี๋เล็ก”เจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในเวลานั้น ก็ต้องระมัดระวังตัวกันเต็มพิกัด เพราะเป็นมือที่ถูกส่งมาทำเรื่องล้างผิด
โดยเฉพาะ ขึ้นบัลลังก์เมื่อไหร่ก็มีลุ้นว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ลักไก่ ใช้เสียงข้างมากดันให้มีการพิจารณาร่างกฎหมายของวรชัยตั้งแต่ยกแรกของการประชุมสภาเลยก็เป็นไปได้
เพราะบทบาทของเจริญในวันนี้ แทบจะไม่ต่างจากคนทำหน้าที่ประธานสภาฯ ตั้งแต่การออกมาแสดงท่าทีเป็นมือประสานให้ทุกฝ่ายมาหารือร่วมกัน แล้วอ้างว่าเห็นตรงกันแล้วว่าจะมีการเสนอร่างนิรโทษกรรม และต้องไม่ลืมว่ามีการเอ่ยอ้างว่าตัวแทนคนเสื้อแดงที่ไปเจรจาในวันนั้นคือ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย นั่นเอง
จากนั้นไม่นาน ก็ปรากฏร่างกฎหมายของวรชัย เสนอเข้าสู่สภาและผลักดันขึ้นมาเป็นวาระแรกรอการพิจารณาในสมัยประชุมนี้
ร่างกฎหมายของวรชัย แม้จะอยู่แค่ครึ่งซอยไม่ถึงสุดซอยอย่างของ “จับกังเหลิม”แต่จะเป็นดัชนีวัดกำลังครั้งสำคัญของกลุ่มต้านทักษิณที่รักความถูกต้องว่ามีความเหนียวแน่นและมีพลังมากพอที่จะต้านทานได้หรือไม่
หากยกนี้เกมของนักโทษหนีคดีชนะ ยกต่อไปคือการพ่วงล้างผิดคนโกง ยำรวมเข้ากับร่างของวรชัยในชั้นกรรมาธิการฯ หรือถ้าจะเดินเกมเร็วก็อาจจะมีการเสนอให้พิจารณาสามวาระรวด เพื่อปิดจ๊อบเลย ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
อย่างที่บอก นักโทษหนีคดีที่มีแต่ “เงิน อำนาจ และเซ็กซ์” อยู่ในสมอง มีแต่ “ความต้องการ” ที่ “ไร้อุดมการณ์” จึงมีความเป็นไปได้ทุกทางเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงว่าประเทศชาติจะเสียหายหรือไม่
อุณหภูมิในสภาที่ว่าร้อนแล้ว อาจไม่เท่ากับองศานอกสภาที่จะร้อนแรงยิ่งกว่า
ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับการปรับกระบวนการของภาคประชาชนที่กำลังวางกรอบเข้ารูป อาจจะดูขลุกขลัก ขาดความพร้อม แต่สุดท้ายแล้วยังเชื่อว่าพลังแห่งความดีงามจะเอาชนะพญามารที่สยายปีกครอบงำประเทศอยู่ในที่สุด
คนที่จะจบปัญหาทั้งหมดในวันนี้ คือ“ประชาชน”ที่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของคนที่อำมหิตคิดคด ทรยศต่อชาติ
การปรับรูปแบบการชุมนุมเพื่อยกระดับการเมือง ประชาธิปไตยและวุฒิภาวะทางการเมืองของประชาชนไปพร้อม ๆ กัน เป็นโจทย์สำคัญที่กลุ่มคนผู้รักชาติต้องหาคำตอบที่เป็นทางออกให้กับประเทศชาติได้เดินหน้าต่ออย่างบอบช้ำน้อยที่สุด
“สิงหาฯเมืองไทยถึงจุดเดือด”ดูเหมือนว่ามีเค้าลางที่จะเป็นจริงมากขึ้น
เมื่อนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร กดปุ่มแตกหักจากแดนไกล ยึด“ความต้องการ”แบบคน “ไร้อุดมการณ์” ให้บรรดาขี้ข้า ผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่กำลังจะเปิดในวันพฤหัสบดีที่ 1 ส.ค. 56 โดยมีกำหนดชำเราประเทศ “ล้างผิดคนทุจริต-เผาบ้านเผาเมือง”ในวันที่ 7 ส.ค. 56
แต่ปฏิทินการเมืองที่ออกตามใบสั่งของนักโทษชายทักษิณ เป็นจุดยืนของพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลนั้น อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่างที่บอกไปแล้วว่า สันดานนักโทษชายมีแต่ “ความต้องการ”หามี “อุดมการณ์” ไม่
ดังนั้น ไอ้ที่ว่าแน่อาจจะไม่แน่ ไอ้ที่ว่าไม่ก็อาจจะใช่ และสุดท้ายไอ้ที่คิดว่าใช่มันก็อาจไม่ใช่ก็ได้
สรุปคือ มันทำได้ทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการ ตอบโจทย์ผลประโยชน์สูงสุดทางการเมืองของตัวเอง ตั้งแต่ “แตกหัก”กับ “สังคมไทย”
เพราะเห็นว่าคนต้านมีจำนวนน้อยนิด หรือ อาจกลับลำ 360 องศา ไม่เดินหน้าต่อ หากประเมินว่าคนเห็นต่างมีพลังมากกว่าที่คิด เหมือนกับที่ไม่กล้าทำประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 หลังจากเคยโม้ไว้ว่า ประชามติ 24 ล้านเสียงเป็นเรื่อง “หมู” สุดท้ายเจอหมูป่าเขี้ยวตันเข้าเลยเงียบกริบ ไม่กล้าท้าทายเสียงส่วนใหญ่ของประเทศอีก
ถัดมาก็ฮึ่ม ๆ คำรามใส่ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะให้เกิดศึกทางอำนาจระหว่าง ตุลาการและนิติบัญญัติ โดยส่งซิกให้ลิ่วล้อโหวตวาระสามสวนคำแนะนำศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ไปทำประชามติก่อนฉีก ร่าง รธน.ฉบับประชาชนที่ผ่านการลงประชามติ
สุดท้ายก็ใส่เกียร์ถอย ปล่อยให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 คาอยู่ในสภาโดยยังไม่มีการโหวตวาระสามแต่อย่างใด จากนั้นก็หันมาเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราแทน
ดังนั้นปฏิทินการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย ตามใบสั่งของนักโทษหนีคดีจึงไม่มีอะไรแน่นอน
ที่บอกว่าจะพิจารณาร่างกฎหมายของวรชัย ในวันที่ 7 ส.ค.56 ก็อาจร่นขึ้นมาเร็วขึ้น เพื่อให้ฝ่ายเห็นต่างตั้งตัวไม่ทัน ด้วยการเสนอให้มีการยกเว้นข้อบังคับการประชุม แล้วนำเอาร่างของวรชัย มาพิจารณาหักดิบกันไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด
กรณีนี้คงต้องดูคนที่นั่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมเป็นหลัก หากเป็น “ตี๋เล็ก”เจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในเวลานั้น ก็ต้องระมัดระวังตัวกันเต็มพิกัด เพราะเป็นมือที่ถูกส่งมาทำเรื่องล้างผิด
โดยเฉพาะ ขึ้นบัลลังก์เมื่อไหร่ก็มีลุ้นว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ลักไก่ ใช้เสียงข้างมากดันให้มีการพิจารณาร่างกฎหมายของวรชัยตั้งแต่ยกแรกของการประชุมสภาเลยก็เป็นไปได้
เพราะบทบาทของเจริญในวันนี้ แทบจะไม่ต่างจากคนทำหน้าที่ประธานสภาฯ ตั้งแต่การออกมาแสดงท่าทีเป็นมือประสานให้ทุกฝ่ายมาหารือร่วมกัน แล้วอ้างว่าเห็นตรงกันแล้วว่าจะมีการเสนอร่างนิรโทษกรรม และต้องไม่ลืมว่ามีการเอ่ยอ้างว่าตัวแทนคนเสื้อแดงที่ไปเจรจาในวันนั้นคือ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย นั่นเอง
จากนั้นไม่นาน ก็ปรากฏร่างกฎหมายของวรชัย เสนอเข้าสู่สภาและผลักดันขึ้นมาเป็นวาระแรกรอการพิจารณาในสมัยประชุมนี้
ร่างกฎหมายของวรชัย แม้จะอยู่แค่ครึ่งซอยไม่ถึงสุดซอยอย่างของ “จับกังเหลิม”แต่จะเป็นดัชนีวัดกำลังครั้งสำคัญของกลุ่มต้านทักษิณที่รักความถูกต้องว่ามีความเหนียวแน่นและมีพลังมากพอที่จะต้านทานได้หรือไม่
หากยกนี้เกมของนักโทษหนีคดีชนะ ยกต่อไปคือการพ่วงล้างผิดคนโกง ยำรวมเข้ากับร่างของวรชัยในชั้นกรรมาธิการฯ หรือถ้าจะเดินเกมเร็วก็อาจจะมีการเสนอให้พิจารณาสามวาระรวด เพื่อปิดจ๊อบเลย ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
อย่างที่บอก นักโทษหนีคดีที่มีแต่ “เงิน อำนาจ และเซ็กซ์” อยู่ในสมอง มีแต่ “ความต้องการ” ที่ “ไร้อุดมการณ์” จึงมีความเป็นไปได้ทุกทางเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงว่าประเทศชาติจะเสียหายหรือไม่
อุณหภูมิในสภาที่ว่าร้อนแล้ว อาจไม่เท่ากับองศานอกสภาที่จะร้อนแรงยิ่งกว่า
ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับการปรับกระบวนการของภาคประชาชนที่กำลังวางกรอบเข้ารูป อาจจะดูขลุกขลัก ขาดความพร้อม แต่สุดท้ายแล้วยังเชื่อว่าพลังแห่งความดีงามจะเอาชนะพญามารที่สยายปีกครอบงำประเทศอยู่ในที่สุด
คนที่จะจบปัญหาทั้งหมดในวันนี้ คือ“ประชาชน”ที่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของคนที่อำมหิตคิดคด ทรยศต่อชาติ
การปรับรูปแบบการชุมนุมเพื่อยกระดับการเมือง ประชาธิปไตยและวุฒิภาวะทางการเมืองของประชาชนไปพร้อม ๆ กัน เป็นโจทย์สำคัญที่กลุ่มคนผู้รักชาติต้องหาคำตอบที่เป็นทางออกให้กับประเทศชาติได้เดินหน้าต่ออย่างบอบช้ำน้อยที่สุด