ข่าวปนคน คนปนข่าว
ชวนทุกฝ่ายทุกสีเสื้อมาปฎิรูปการเมืองหาทางออกประเทศ!!
เป็นสคริปต์ที่โคตรดูดีของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่ยืนท่องโพยชนิดตาไม่กระพริบทางหน้าจอทีวีเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในจังหวะที่สถานการณ์ขณะนั้นกำลังร้อนผ่าว
หวังเบรกอารมณ์มวลชนที่กำลังเดือดปุดๆ ให้หยุดหรือเบาลงมาบ้าง ด้วยท่าทางอ่อนช้อยผูกมิตรของ “นายกฯหญิง”
แต่พวกที่รู้ไส้รู้พุง ชนิดไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ แค่เห็นลิ้นไก่ แค่ตอน “ยิ่งลักษณ์” อ้าปากท่องโพยก็แทบไม่ต้องล้วงคอให้เสียเวลา บรรดาอาหารที่รับประทานลงไปในลำคอแทบจะอ้วกออกมาได้เป็นกิโลๆ
เรื่องของเรื่อง เป็นเพราะจับทางกันทันว่า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” กำลังเล่นละครฉากใหญ่ ชนิดปาหี่ตบตาชาวบ้านร้านตลาดให้หลงคำหวาน แต่แท้จริงแล้วมืออีกข้างที่ไพล่อยู่ด้านหลังกำลังกำมีดอีโต้อันเบ้อเร่อไว้อย่างแน่นหนา
เพราะหากคิดอยากจะปรองดองจริงๆ บริหารประเทศมาตั้งนานตั้งเนร่วมสองปี ไม่ยักมีทีท่าอยากจะจูบปากกับฝ่ายตรงข้าม หรือเห็นรูปแบบโมเดลนี้หลุดรอดออกมาเลย
แต่พอสถานการณ์ตัวเองไม่ค่อยดีก็ออกมาตีบทนิ่มซะอย่างงั้น!!
แถมข้อเสนอแนะของ “ยิ่งลักษณ์” ที่ร่ายยาวตามโพยก็ไม่ได้มีการระบุรูปแบบและวิธีการอะไรที่เป็นกิจลักษณะ นอกจากคำสวยหรูว่าจะเชิญคนนั้นคนนี้
สะท้อนให้เห็นตับไตไส้พุงว่า เป็นการพุ่งพรวดออกมาแบบกระทันหัน ทำกันแบบลวกๆ ชนิดไม่ได้มีการคิดกันแบบตกผลึกกันมาก่อนหน้านี้
และหากรัฐบาลจริงใจอยากจะนั่งจับเข่าคุยกันเพื่อหาทางออกประเทศจริงๆ เหตุใดจึงไม่มีการถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ออกไปก่อน ตามที่หลายฝ่ายเรียกร้อง
เพราะรู้อยู่แน่นอกว่า “กฎหมายฟอกโจร” ดังกล่าวเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การเมืองไทยร้อนระอุอีกครั้ง แต่ “ยิ่งลักษณ์” กลับอ้างว่า เป็นคนละเรื่องกันเสียอย่างนั้น
ภาพมันก็เลยยิ่งชัดพฤติกรรมรัฐบาลเป็นประเภทพวกปากปราศรัยใจเชือดคอ
โดยเฉพาะ “ยิ่งลักษณ์” ที่ขันอาสาพล่ามผ่านหน้าจอทีวี!!
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของกระบวนการ “ปฏิรูปการเมือง" ที่มอบหมายให้ “สองเทพ” อย่าง “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” รองนายกรัฐมนตรี และ “วราเทพ รัตนากร” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหนังหน้าไฟเที่ยวไปตะลอนชวนคนนั้นคนนี้ นับวันก็ยิ่งจะปาหี่จนแทบรับไม่ได้
เพราะหงายหน้าดูแต่ละรายที่ “สองเทพ” ไปเคาะประตูบ้าน เริ่มตั้งแต่ “ป๋าเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใครเห็นเข้าก็ร้องยี้ระงม เพราะยังไม่ทันก้าวเข้าบ้านก็ทราบผลตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่า ตอบรับ ไม่ปฏิเสธแน่นอน ตามต้นฉบับ “ปลาไหลตัวพ่อ”
แถมก่อนหน้านี้ยังลือกันให้แซ่ด เห็นแว้บๆว่า ตนโตตัวเล็กแอบไปนั่งซดไวน์กับ “นายใหญ่” ที่ต่างแดนมาแล้วเรียบร้อย
ยิ่งมาเสนอตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องโจ๊กขำขันกันใหญ่ เพราะเป็นเพียงจินตนาการเพ้อฝันที่มีคนคิดกันมาแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไร
ก็ตามคิวที่ “นายหัวชวน” ชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ออกมากรีดเจ็บๆ แสบๆ ใส่ “เติ้งเสี่ยวหาร” ว่า “แล้วชาติไหนล่ะ???”
เช่นเดียวกับอดีตประธานรัฐสภาอย่าง “อุกฤษ มงคลนาวิน” ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่ใครๆ เห็นรัฐบาลไปเชิญก็แทบอยากจะเดินหนีไปไกลๆ ทันที เพราะชาวบ้านชาวช่องเขาทราบกันทั้งนั้นว่าพวกเดียวกัน
จะไปเชิญทำไมให้เสียเวลา!!
หรือจะเป็นในรายของ “อุทัย พิมพ์ใจชน” อดีตประธานรัฐสภาอีกคน ที่ภาพลักษณ์ทางสังคมพอใช้ได้ ที่รัฐบาลอุตส่าห์ไปเชื้อเชิญมา แต่ปัญหาติดอยู่ว่า แล้วอดีตประมุขฝ่ายนิติบัญญัติคนนี้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ทำไมจึงต้องเคลียร์
ที่สำคัญการตอบรับของ “อุทัย” ที่เข้าร่วมขบวนปฏิรูปในครั้งนี้ทำให้กระแสสังคมที่กำลังล่อแหลมมันสุ่มเสี่ยงลดลงขึ้นมาบ้างตรงไหน
ที่น่าละเหี่ยใจได้มากกว่าคนอื่นๆ ก็หนีไม่พ้น “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ แม้วันนี้ถือเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงในฐานะอดีตประธานคณะมนตรีมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แต่อย่าลืมว่าวันนี้ “บิ๊กบัง” ได้เดินทางเข้าสู่เส้นทางทางการเมืองแล้วเต็มตัวแล้ว
มิหนำซ้ำ เครดิตยังติดลบหลายเท่าตัว หลังเคยร่วมสังฆกรรมกับพรรคเพื่อไทยจะออกร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อฟอกความผิดให้กับ “น.ช.แม้ว” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคพวก
ยังไม่นับรวมพวก “อะไหล่ปลดระวาง” อย่าง “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของต้นตำรับ “โซ่ข้อกลาง” ที่รัฐบาลไปกวักมือเรียกให้มาร่วมเล่นละครปรองดองฉบับปาหี่ลวงโลกด้วยกัน ก็คงรีบยกมือขอร่วมขบวนอย่างไม่รอช้า
ขมวดภาพรวมๆ กับบุคคลที่รัฐบาลไปร่อนหนังสือมาร่วมหัวจมท้าย ส่วนใหญ่ยังเป็นพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปีที่วันนี้ไม่มีราคาแล้ว สวนทางกับคำว่า “ปฏิรูป” ที่แปลกันตรงตัวว่า “ทำให้ดีขึ้น - ทำให้เจริญชึ้น”
จะคุยหรือไม่คุยกับพวกนี้ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น!!
อย่างไรก็ตาม ในคิวที่ฝ่ายค้านและบรรดาฝ่ายต้านไม่เอาด้วยตั้งแต่ไก่โห่ รัฐบาลเองก็ทราบอยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าจะต้องออกมาในรูปนี้ แต่เหตุที่ต้องรีบชูปฏิรูปการเมืองก็เพราะหวังแค่ประคองอารมณ์มวลชนไม่ให้ลุ่มร้อนไปกว่านี้
หลักๆ หวังฉายภาพให้เห็นว่า วันนี้บ้านเมืองจะแตกแยกแล้ว รัฐบาลยังพยายามประนีประนอมอยู่ก็แค่นั้น ใครเอาไม่เอาก็ช่าง ขอให้ได้แต้มเป็นพอ
ยังเข้าอีหรอบเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้องเหมือนเดิม!!
ส่วนบุคคลที่ไปรับเชิญให้มาร่วมวง ก็แค่ตัวละครหลอกๆ มากันให้ดูดี เพราะส่วนใหญ่ก็พวกกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรเสียหาย
ยิ่งโยนชื่อคนดังระดับโลกว่าจะไปเชื้อเชิญทั้ง “โทนี่ แบลร์ - โคฟี อันนัน” เข้ามาร่วมขบวน ก็แค่การยกระดับ “ปาหี่” ที่ฉายในประเทศขึ้นเป็น “ปฏิบัติการลวงโลก” ก็แค่นั้น
ขณะที่ “ค่ายสีฟ้า” พรรคประชาธิปัตย์ และบรรดาแนวต้านทั้งหลาย รัฐบาลก็ทราบคำตอบตั้งแต่ยังไม่คิดไอเดียด้วยซ้ำว่าอย่างไรก็หัวชนฝาคือไม่เอา และก็นกรู้อยู่แล้วว่า ต้องเอาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะมีการพิจารณากันมาต่อรอง ด้วยการเรียกร้องให้ถอนออกจากสภาฯ ก่อนจึงค่อยมากางโต๊ะจับเข่าคุยกัน
พอบรรดาพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงแนวต้านต่างๆ ออกมาตามฉากที่ทายเอาไว้ว่าจะต้องมีการต่อรอง “ยิ่งลักษณ์” ก็ได้ที รีบออกมาร่ายยาวขอร้องอย่าสร้างเงื่อนไขอีกเลย
ภาพเลยตาลปัตร พวกแนวต้านทั้งหลายที่ปฏิเสธไอเดียปฏิรูปการเมืองกลายเป็น “จระเข้ขวางคลอง” ชอบสร้างเงื่อนไข ไม่ยอมให้กระบวนการปรองดองเกิดขึ้น
เรียกว่า หมากในกระดานเข้าตีนเต็มๆ ตามคาด!!
โดยสภาพไอเดียปฏิรูปการเมืองของ “ยิ่งลักษณ์” มันก็เลยเป็นได้แค่ “โปรเจ็กต์ลวงโลก” ที่แฝงไปด้วยเล่ห์เพทุบายที่นอกจากจะไม่มีเป้าหมายปรองดองแล้ว
ยังแฝงไปพิษสงที่พร้อมจะทำร้ายฝั่งตรงข้ามอีกด้วย