ผ่าประเด็นร้อน
ดูจากรูปการณ์แล้วเวทีปาหี่ปฏิรูปการเมืองที่ "ขีดวง" กันภายในพรรคพวกเครือข่าย "ระบอบทักษิณ" คงจะเดินหน้าไปอีกสักระยะหนึ่ง เพราะกำลังมีการเดินสายเชื้อเชิญ "คนกันเอง" เข้ามาร่วมเพิ่มเติมเข้ามากันแบบรายวัน ล่าสุดเห็นว่า "ยอดได้ตามกำหนด" แล้วคือราว 50 คน ไม่อยากเอ่ยชื่อให้ได้ยินซ้ำ เดี๋ยวหลายคนจะ "สะอิดสะเอียน" อ้วกแตกอ้วกแตนกันไปเปล่าๆ แต่เอาเป็นว่า "คงจะสนุกสนาน" กันไปอีกสักพักใหญ่ เพราะเห็นว่ามีการใช้ "งบหลวง" เงินของชาวบ้านมาละเลงไม่น้อย เพราะแค่เชิญฝรั่งตาน้ำข้าว อย่าง "โทนี แบลร์"อดีตนายกฯอังกฤษที่การเมืองในบ้านตัวเองยังไม่ค่อยเข้าใจจนต้องลงจากเก้าอี้ไม่สวยนัก มาร่วมวงปฏิรูปการเมืองของคนไทย ก็ต้องผลาญเงินไปไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท เข้าไปแล้ว ส่วนคนอื่นที่เหลือก็คงไม่น้อย เบ็ดเสร็จคงไม่หนีร้อยล้านบาท ยังดีที่อดีตเลขาฯ ยูเอ็น โคฟี อันนัน อ้างติดธุระ ไม่ยอมหลงกลเดินทางมา คงเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ที่เคย"ตกเป็นเครื่่องมือ" เมื่อครั้งที่เคยถูกเชิญมาร่วมสังเกตการณ์ เสนอทางออกของการเมืองไทย ซึ่งคราวนั้นยังได้เสนอให้ ทักษิณ ชินวัตร เสียสละและถอยออกมาก่อน คราวนี้ก็เลยไม่อยากเสียเวลา อะไรประมาณนั่นแหละ
แต่ถึงอย่างไร เปรียบเหมือน "การแสดงต้องดำเนินต่อไป" ทุกอย่างก็ต้องเดินหน้า อย่างน้อยก็ต้องตีคู่ไปกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ที่กำลังเริ่มแปรญัตติในวาระที่สองกันอยู่เวลานี้ และอีกไม่นานก็ต้องถึงคิวการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องสร้างภาพระดมความเห็น ความปรองดองออกมาให้ "ตบตา" ลดกระแสเอาไว้ก่อน ความหมายก็คือประชุมปฏิรูปกันไป แปรญัตตินิรโทษกรรมกันไปเดี๋ยวทุกอย่างก็มาบรรจบกันนั่นคือ ทางหนึ่งก็นิรโทษกรรมครอบคลุมไปถึง ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาขี้ข้าทั้งหมดให้พ้นผิด อีกทางหนึ่งก็ตั้งเป็น "ตุ๊กตา" รอเอาไว้รอสำหรับเป็นข้อเสนอเป็นประเด็นสำหรับแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะดำเนินการต่อจากนี้ "ทำนองคิดเองเออเอง ครื้นเครงในหมู่คนกันเอง"
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น รับรองว่าไม่ใช่เป็นการปฏิรูปแน่นอน ที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็น "สภาที่ปรึกษารัฐบาล" มากกว่า เพราะไม่ได้มีความหมายผูกพันหรือได้รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไป มิหนำซ้ำคนที่เข้าร่วมหรือได้รับเชิญ ล้วนเป็นพวกเดียวกันกับรัฐบาล เป็นขี้ข้ารัฐบาล หลายคนก็สร้างปัญหาในทางการเมืองมีภาพลักษณ์ที่ทุจริตคอรัปชัน หากินกับงบประมาณแผ่นดิน เป็นนักลงทุนทาง
การเมือง เลวร้ายไม่ต่างจากทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว คนพวกนี้นอกจากไม่สมควรเข้าร่วมหรือไม่คู่ควรแม้แต่จะพูดเรื่อง "การปฏิรูป" สักคำพูดเดียวด้วยซ้ำไป ตรงกันข้ามเจอหน้าที่ไหนน่าจะ "ถ่มน้ำลายรดหน้า"แต่ยังดันเสนอหน้าออกมา คนพวกนี้หลายคนไม่นับเป็น "ผู้อาวุโส" แต่่น่าจะออกไปในทาง "ขยะหรือสิ่งชำรุด" ในสังคมที่ต้องทำลายทิ้งเท่านั้น ประเภท "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" ทั้งสิ้น
ถามว่ามีใครบ้างที่ให้การนับถือ บรรหาร ศิลปอาชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รวมทั้ง อุกฤษ มงคลนาวิน คนพวกนี้น่านับถือ ควรค่าที่จะยึดถือเป็นแบบอย่างนั้นหรือ และสมควรต้องรับฟังคนพวกนี้หรือ ตรงกันข้ามคนพวกนี้มากกว่าที่ต้องฟังชาวบ้านว่าให้อยู่บ้านเงียบๆใช้ชีวิตในบั้นปลายแบบสงบชดใช้กรรมได้แล้ว
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งหากมีการปฏิรูปสังคมไทยอย่างรอบด้านแท้จริงแล้ว มันก็สมควรเป็นเวทีของภาคประชาชนล้วนๆ ทุกสาขาอาชีพ เป็นคนจัดเสวนา หรือปรึกษาหารือกันขึ้นมา ว่าจะมีทิศทางอย่างไร ต้องผ่านการปรึกษาถกเถียงจากประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่พวกนักการเมืองขี้ฉ้อ และพวกที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนพวกนี้เท่านั้น คนพวกนี้ต้องถอยออกไปให้ไกลๆ ซึ่งก็ยังหมายรวมถึงพวกนักการเมือง พรรคการเมือง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านด้วย เพราะล่้วนแล้วแต่สร้างปัญหาทั้งสิ้น
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเสียเวลาปล่า ที่สำคัญยังเป็นการเปลืองเงินจากภาษีของประชาชนในการประชุม เปลืองค่าน้ำค่าไฟ เสียดายเงินที่ต้องจ่ายค่าเครื่องบิน ค่าดูแลให้กับฝรั่งตาน้ำข้าวที่ไม่รู้จักประเทศไทย ไม่รู้จักคนไทย แต่ก็ต้องดึงมาเพื่อสร้างภาพที่คนเชิญก็ไม่รู้ความหมายว่าจะได้ประโยชน์อะไร หากจะบอกว่าเป็นเรื่องตลกขำขันก็ได้ แต่มันก็ขำไม่ออกเพราะนี่คือ "ปาหี่ที่ผลาญเงินชาวบ้าน" แบบไร้สาระสิ้นดี!!