ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่าง บรรหาร ศิลปอาชา สุวัจน์ ลิปตพัลลภ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือแม้แต่ ทักษิณ ชินวัตร จะกล้าพูดเรื่องปฏิรูปการเมือง ได้โดยไม่กระดากปาก ไม่อายแม้กระทั่งตัวเอง แต่ก็อย่างว่าหากมองในอีกมุมหนึ่งเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของแต่ละคนมันก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่คนพวกนี้คิดและทำอะไรก็ได้รวมไปถึงยอมเป็นเครื่องมือให้ใครก็ได้เพื่อให้พวกเขาได้ร่วมรับผลประโยชน์ไปด้วย และไม่เคยสนใจว่าสิ่งที่ตัวเองพูดหรือทำไปนั้นคนอื่นเขาจะรู้สึกอย่างไร
เหมือนกับสิ่งที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่อ้างอยู่ตลอดเวลาเป็นนักประชาธิปไตย ยึดมั่นในระบอบรัฐสภา แต่ในความเป็นจริงตัวนายกฯผู้นี้แทบจะนับครั้งได้ว่าเข้าประชุมสภากี่หน หรือเดินทางไปตอบกระทู้ในสภากี่ครั้ง หรืออดทนอยู่ในห้องประชุมสภาได้เกินหนึ่งชั่วโมงหรือเปล่า
ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของนายกฯยิ่งลักษณ์ แทนที่จะเป็นเรื่องที่น่าจดจำเกี่ยวกับเรื่อง "ภาวะผู้นำ"หรือแนวความคิดทางด้านการเมือง แต่นี่กลายเป็นว่าถูกจับจ้องในเรื่องความ "ด้อยสติปัญญา"พูดผิดพูดถูกเหมือนคนด้อยการศึกษา ไม่มีความรู้รอบตัว เรื่องโดดเด่นของเธอกลับกลายเป็นเรื่องแฟชั่นการแต่งตัวที่แต่ละวัน แต่ละเวลาไม่ซ้ำกัน ล่าสุดก็เช่นเดียวกันที่ "เสนอหน้่า"คิดปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากภูมิหลังแล้วไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเธอจะกล้าพูดในเรื่องแบบนี้ เพราะถ้าบอกว่าวีนนี้จะใส่ชุดไหนดี หรือจะไปช็อปปิ้งที่ไหนไปเที่ยวที่ไหนน่าจะเหมาะกับบุคลิกเธอมากกว่า แต่เอาเถอะถึงอย่างไรก็รับรู้กันอยู่แล้วว่านี่คือ"แผนการ"ที่"พี่ชาย"คือ ทักษิณ ชินวัตร และกุนซือกำหนดให้ทำ เป้าหมายเฉพาะหน้าในตอนนั้นก็เพียงแค่"ลดกระแส" ลดแรงต้านจากสังคมจากการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่อำพราง "เหมาเข่ง" โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ที่ตั้งเวที"ผ่าความจริงโต้รุ่ง"ระดมมวลชนเข้ามา เป้าหมายก็เพื่อผ่อนความกดดันลงมาเพื่อไม่ให้เป้าหมายหลักในสภาที่กำลังเดินหน้าอยู่ต้องคว่ำลงไปอีก
เพราะสิ่งที่คนทัวไปจับได้ว่ารัฐบาล "ไม่จริงใจ"ที่จะปฏิรูปการเมืองหรือปรองดองอย่างแท้จริงก็เป็นเพราะยังไม่ยอมถอนร่างนิรโทษกรรม และร่างปรองดองในสภาทุกฉบับออกมาเสียก่อน ดังนั้นความเคลื่อนไหวเพื่อให้มี "สภาปฏิรูป"โดยเชิญผู้อาวุโสทั้งหลายเข้ามาร่วมชี้แนะ นั้นในความเป็นจริงแล้วหากพิจารณาจากอายุก็คงไม่มีใครเถียง เนื่องจากแต่ละคนแทบจะลงโลงกันอยู่แล้ว แต่ออกมาประเภท "แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นาน" มากกว่า ไม่ได้มีความหมายในเชิงได้รับเคารพนับถือจากสังคมทั่วไป
ในทางตรงกันข้ามแต่ละคนที่บอกว่าเป็นผู้อาวุโส เริ่มจาก บรรหาร ศิลปอาชา ที่ตลอดชีวิตล้วนหากินอยู่กับธุรกิจการเมืองจนร่ำรวย หรือคนอย่าง อุกฤษ มงคลนาวิน ที่่ย้อนไปในอดีตล้วนแล้วแต่ข้องแวะกับเผด็จการมาตลอด ไม่เคยร่วมต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมกับประชาชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ล่าสุดก็ใช้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมารับใช้ ทักษิณ ชินวัตร ถัดมาก็เป็น สุวัจน์ ลิปตพัลลภ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้าไปอีกคน ในภาพรวมแล้วล้วนออกมาในเชิงตลกปนสมเพชมากกว่า
และยิ่งร้ายกาจไปกว่านั้นก็คือดันไปเชิญ"ฝรั่งตาน้ำข้าว"อย่างอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี แบลร์ อดีตเลขาธิการสหประชาติ โคฟี อันนัน เข้ามาร่วมวงปฏิรูปการเมืองไทยเสียอีก ซึ่งสาเหตุก็คงไม่มีมากไปกว่าจุดประสงค์เพื่อ"การสร้างภาพจนเลยเถิด" คิดตื้นๆเพียงแค่ว่าคนพวกนี้เคยมีตำแหน่งใหญ่โตมีความสำคัญของโลกเข้ามาแจมด้วยคงเท่น่าดู แต่คำถามก็คือเรื่องในบ้านของตัวเองยังเข้าใจยาก แล้วจะให้พวกฝรั่งมาเข้าใจได้อย่างไร เพราะขนาดคนอย่าง นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพี่ชายของเธอ อย่าง ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่เข้าใจเรื่องการปฏิรูปไม่รู้จักคำว่าเสียสละ ทำให้เกิดความวุ่นวายจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้นเมื่อพิจารณากันแต่ละคนล้วนแล้วแต่น่าหัวร่อ เพราะนี่คือ "ปาหี่"หรือ "ลิเกโรงใหญ่" ที่แต่ละคนที่อ้างว่าจะมาปฏิรูปนั้น คนพวกนี้นั่นแหละที่ต้องปฏิรูปก่อนใคร เพราะตลอดชีวิตล้วนแล้วแต่สร้างความกอบโกย เอาเปรียบใช้การเมืองเป็นแหล่งหาผลประโยชน์ ไม่เคยถูกมองเป็นผู้เสียสละ สร้างความเชื่อถือ หรือทำตัวให้ป็นตัวอย่างกับสังคมได้เลย คนพวกนี้แทนที่จะถูกเขี่ยทิ้งไปป็นอันดับแรก กลับได้รับเกียรติเชื้อเชิญเข้ามาร่วม ทุกอย่างเลยกลับตาลปัตรผิดเพี้ยนจนน่าอัปยศอดสู
อย่างไรก็ดีทุกอย่างมันแค่เกม ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างจะจบลงแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ หลอกต้มได้เฉพาะพวกคนกันเองเท่านั้น !!