**แม้ว่าฝ่ายทักษิณ ชินวัตร จะสามารถผลักดัน ร่าง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ฉบับที่เสนอโดย วรชัย เหมะ กับพวกได้สำเร็จจนผ่านวาระแรกแบบฉลุยไปเรียบร้อยแล้ว แบบไม่ต้องลุ้น ขั้นตอนต่อไปก็เข้าสู่การแปรญัตติภายใน 7 วัน ชนิดที่เรียกว่าเร่งวันเร่งคืน ให้ออกมาบังคับใช้ภายในไม่เกิน 3 เดือนข้างหน้า
แต่คำถามก็คือ ถึงตอนนั้นจะมีการลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาหัวโจกแบบ "เหมาเข่ง" รวมไปด้วยหรือเปล่า เพราะเมื่อพิจารณาจากเนื้อหา "กำกวม" เอื้อให้เกิดการ "ตีความ" กันได้แบบสุดๆ นั่นแหละ
อย่างไรก็ดี ก็ต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดในวาระที่สอง ที่เชื่อว่ากันว่าจะมีการแปรญัตติให้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะได้เห็น ทั้งในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร แล้วมาถึงวุฒิสภาเป็นขั้นตอนต่อไป เพราะสิ่งไหนก็ตาม ถ้าเจตนาไม่สุจริต ปิดบังอำพรางในที่สุดมันก็ย่อมประจานออกมาให้เห็นจนได้ และที่ผ่านมาทุกเรื่องก็เป็นแบบนั้นมาตลอด
**แต่สิ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คือ "โปรเจกต์ใหม่" ที่ผลักดันควบคู่กันเข้ามานั่นคือ "สภาปฏิรูปการเมือง" ที่เสนอโดยฝ่ายรัฐบาล ถึงขนาดให้ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงทุนถ่างตา "อ่านโพย" ทางโทรทัศน์ เมื่อวันก่อนถือว่าไม่ธรรมดา
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในตอนแรกหากพิจารณาจากสาเหตุที่เสนอให่้ตั้งสภาปฏิรูปอะไรนั่น เป้าหมายก็แค่ต้องการให้ลดกระแสลงมา หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์มีการ "ปลุกกระแส" ต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ อย่างเข้มข้น มีการตั้งเวทีผ่าความจริงต่อเนื่องและก่อนถึงวันดีเดย์ 7 สิงหาคม ก็มีการ "ผ่าความจริงกันยันเช้า" พร้อมทั้งมีการประกาศให้มวลชนเดินขบวนไปส่ง ส.ส.เข้าสภา ทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องรีบแก้เกม ลดแรงต้าน จึงเสนอสภาปฏิรูปฯขึ้นมาดังกล่าว โดยมีการตั้งตัวแทนอย่าง พงศ์เทพ เทพกาญจนา และ วราเทพ รัตนากร เดินสายไปเชื้อเชิญ "คนกันเอง" เริ่มจาก บรรหาร ศิลปอาชา อุกฤษ มงคลนาวิน สุวัจน์ ลิปตพัลลภ กระมล ทองธรรมชาติ หรือแม้แต่ พิชัย รัตตกุล
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนรับใช้ ทักษิณ ชินวัตร หรือ มีแนวทาง มีผลประโยชน์ไปทางเดียวกัน ไม่ได้มีความหมาย และแน่นอนว่าคนที่รู้ทันย่อมต้อง "หัวร่อ" หยามหยันว่า นี่มันแค่ปาหี่ หรือลิเกโรงใหญ่เท่านั้น เพราะไล่รายชื่อกันแต่ละคนมันก็ยังนึกไม่ออกว่าคนพวกนี้จะ "ปฏิรูปการเมือง" กันอย่างไร คนอย่างบรรหาร สุวัจน์ อุกฤษ หรือแม้แต่ล่าสุด กระมล ทองธรรมชาติ ที่แบกกราวด์ เป็นถึงอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถามว่า เรื่องความสง่างามนั่นมีหรือเปล่า เพราะเป็นตุลการฝ่ายเสียงข้างมาก ที่ลงมติให้ ทักษิณ พ้นผิดจากคดี"ซุกหุ้น"ภาคแรก อย่างมีเงื่อนงำนั่นแหละ
คนพวกนี้หรือเป็นนักปฏิรูป ซึ่งหากให้เดาก็คือ คนพวกนี้กำลังเป็นสะพานเพื่อนำไปสู่การ "ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ" ซึ่งนี่คือ ความหมายของการปฏิรูปฯ นั่นคือการปฏิรูปต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งอาจ "ตกกระไดพลอยโจร" มาแนวนี้ก็เป็นได้ หลังจากเห็นว่า เมื่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯผ่านสภาไปแบบฉลุยผิดคาด ก็อาจลุยต่อ เพราะเมื่อสังคมเริ่ม "วางเฉย" คาดว่าพลังฝ่ายต้านยังรวมกันไม่ติด จากเดิมที่คิดว่า เสนอจุดพลุขึ้นมาเพื่อลดกระแสต่อต้านกฎหมายล้างผิดดังกล่าว เมื่อแรงต้านไม่แรง หลังจากฝ่ายประชาชาธิปัตย์นำมามวลชนมาส่งแค่หน้าสภาแล้วให้แยกย้ายกันกลับบ้าน ทุกอย่างหลังจากนี้ก็ต้อง"เดินตามเกม" ที่ฝ่าย ทักษิณ กำหนด
อย่างไรก็ดี มันก็มีเรื่อง "ฮา" เกิดขึ้นแบบเข้ามาแทรก เพราะดันไปเชิญฝรั่งตาน้ำข้าว หรือคนต่างด้าวเข้ามาร่วมปฏิรูปการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ส่งเทียบเชิญ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี แบลร์ และ โคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ เข้ามาร่วม ซึ่งรัฐบาลได้แถลงด้วยความภาคภูมิใจ ทำราวกับว่าถ้าหากคนพวกนี้เข้ามาร่วมแล้วการเมืองไทยก็จะปรองดอง จะปฏิรูปเข้าสู่ระดับสากลอะไรแบบนั้น
แต่สำหรับคนที่เขาเข้าใจและรู้ทัน มันก็กลับกลายเป็นการสมเพช และสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่พูดออกไป เพราะในความเป็นจริงแล้วฝรั่งดังกล่าวมันไม่มีทางเข้าใจปัญหาการเมืองไทย การแก้ปัญหาไม่ใช่มองเพียงแค่การเลือกตั้งแล้วได้เสียงข้างมาก ไม่เหมือนการเมืองในอังกฤษของ โทนี แบลร์ รวมไปถึงประเทศกานา บ้านเกิดในแอฟริกาของ โคฟี อันนัน เป็นอันขาด แค่คิดเชิญคนพวกนี้เข้ามาร่วม มันก็ตลกขบขันแล้ว
เมื่อรูปการณ์ออกมาอย่างที่เห็น นอกจากตลกขบขันและสมเพชเวทนาแล้ว หากการปฏิรูปฯ เดินหน้ากันต่อไป เป้าหมายที่ต้องคาดเดาได้ไม่ยากก็คือจะเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งเพื่อเป็นแนวทางเสนอต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่กำลังจะเดินเครื่องกันอย่างเต็มที่ในลำดับถัดไปอีกไม่นานนี้ และเมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลที่ถูกเชิญเข้าร่วมในสภาปฏิรูปแต่ละคนแล้ว มันก็ย่อมเห็นอนาคตข้างหน้ารออยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร
**คำถามก็คือ คนอย่าง บรรหาร สุวัจน์ หรือแม้แต่ อุกฤษ ก่อนจะปฏิรูปการเมือง ช่วยปฏิรูปตัวเองก่อนตายได้หรือเปล่า !!
แต่คำถามก็คือ ถึงตอนนั้นจะมีการลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาหัวโจกแบบ "เหมาเข่ง" รวมไปด้วยหรือเปล่า เพราะเมื่อพิจารณาจากเนื้อหา "กำกวม" เอื้อให้เกิดการ "ตีความ" กันได้แบบสุดๆ นั่นแหละ
อย่างไรก็ดี ก็ต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดในวาระที่สอง ที่เชื่อว่ากันว่าจะมีการแปรญัตติให้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะได้เห็น ทั้งในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร แล้วมาถึงวุฒิสภาเป็นขั้นตอนต่อไป เพราะสิ่งไหนก็ตาม ถ้าเจตนาไม่สุจริต ปิดบังอำพรางในที่สุดมันก็ย่อมประจานออกมาให้เห็นจนได้ และที่ผ่านมาทุกเรื่องก็เป็นแบบนั้นมาตลอด
**แต่สิ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คือ "โปรเจกต์ใหม่" ที่ผลักดันควบคู่กันเข้ามานั่นคือ "สภาปฏิรูปการเมือง" ที่เสนอโดยฝ่ายรัฐบาล ถึงขนาดให้ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงทุนถ่างตา "อ่านโพย" ทางโทรทัศน์ เมื่อวันก่อนถือว่าไม่ธรรมดา
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในตอนแรกหากพิจารณาจากสาเหตุที่เสนอให่้ตั้งสภาปฏิรูปอะไรนั่น เป้าหมายก็แค่ต้องการให้ลดกระแสลงมา หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์มีการ "ปลุกกระแส" ต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ อย่างเข้มข้น มีการตั้งเวทีผ่าความจริงต่อเนื่องและก่อนถึงวันดีเดย์ 7 สิงหาคม ก็มีการ "ผ่าความจริงกันยันเช้า" พร้อมทั้งมีการประกาศให้มวลชนเดินขบวนไปส่ง ส.ส.เข้าสภา ทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องรีบแก้เกม ลดแรงต้าน จึงเสนอสภาปฏิรูปฯขึ้นมาดังกล่าว โดยมีการตั้งตัวแทนอย่าง พงศ์เทพ เทพกาญจนา และ วราเทพ รัตนากร เดินสายไปเชื้อเชิญ "คนกันเอง" เริ่มจาก บรรหาร ศิลปอาชา อุกฤษ มงคลนาวิน สุวัจน์ ลิปตพัลลภ กระมล ทองธรรมชาติ หรือแม้แต่ พิชัย รัตตกุล
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนรับใช้ ทักษิณ ชินวัตร หรือ มีแนวทาง มีผลประโยชน์ไปทางเดียวกัน ไม่ได้มีความหมาย และแน่นอนว่าคนที่รู้ทันย่อมต้อง "หัวร่อ" หยามหยันว่า นี่มันแค่ปาหี่ หรือลิเกโรงใหญ่เท่านั้น เพราะไล่รายชื่อกันแต่ละคนมันก็ยังนึกไม่ออกว่าคนพวกนี้จะ "ปฏิรูปการเมือง" กันอย่างไร คนอย่างบรรหาร สุวัจน์ อุกฤษ หรือแม้แต่ล่าสุด กระมล ทองธรรมชาติ ที่แบกกราวด์ เป็นถึงอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถามว่า เรื่องความสง่างามนั่นมีหรือเปล่า เพราะเป็นตุลการฝ่ายเสียงข้างมาก ที่ลงมติให้ ทักษิณ พ้นผิดจากคดี"ซุกหุ้น"ภาคแรก อย่างมีเงื่อนงำนั่นแหละ
คนพวกนี้หรือเป็นนักปฏิรูป ซึ่งหากให้เดาก็คือ คนพวกนี้กำลังเป็นสะพานเพื่อนำไปสู่การ "ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ" ซึ่งนี่คือ ความหมายของการปฏิรูปฯ นั่นคือการปฏิรูปต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งอาจ "ตกกระไดพลอยโจร" มาแนวนี้ก็เป็นได้ หลังจากเห็นว่า เมื่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯผ่านสภาไปแบบฉลุยผิดคาด ก็อาจลุยต่อ เพราะเมื่อสังคมเริ่ม "วางเฉย" คาดว่าพลังฝ่ายต้านยังรวมกันไม่ติด จากเดิมที่คิดว่า เสนอจุดพลุขึ้นมาเพื่อลดกระแสต่อต้านกฎหมายล้างผิดดังกล่าว เมื่อแรงต้านไม่แรง หลังจากฝ่ายประชาชาธิปัตย์นำมามวลชนมาส่งแค่หน้าสภาแล้วให้แยกย้ายกันกลับบ้าน ทุกอย่างหลังจากนี้ก็ต้อง"เดินตามเกม" ที่ฝ่าย ทักษิณ กำหนด
อย่างไรก็ดี มันก็มีเรื่อง "ฮา" เกิดขึ้นแบบเข้ามาแทรก เพราะดันไปเชิญฝรั่งตาน้ำข้าว หรือคนต่างด้าวเข้ามาร่วมปฏิรูปการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ส่งเทียบเชิญ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี แบลร์ และ โคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ เข้ามาร่วม ซึ่งรัฐบาลได้แถลงด้วยความภาคภูมิใจ ทำราวกับว่าถ้าหากคนพวกนี้เข้ามาร่วมแล้วการเมืองไทยก็จะปรองดอง จะปฏิรูปเข้าสู่ระดับสากลอะไรแบบนั้น
แต่สำหรับคนที่เขาเข้าใจและรู้ทัน มันก็กลับกลายเป็นการสมเพช และสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่พูดออกไป เพราะในความเป็นจริงแล้วฝรั่งดังกล่าวมันไม่มีทางเข้าใจปัญหาการเมืองไทย การแก้ปัญหาไม่ใช่มองเพียงแค่การเลือกตั้งแล้วได้เสียงข้างมาก ไม่เหมือนการเมืองในอังกฤษของ โทนี แบลร์ รวมไปถึงประเทศกานา บ้านเกิดในแอฟริกาของ โคฟี อันนัน เป็นอันขาด แค่คิดเชิญคนพวกนี้เข้ามาร่วม มันก็ตลกขบขันแล้ว
เมื่อรูปการณ์ออกมาอย่างที่เห็น นอกจากตลกขบขันและสมเพชเวทนาแล้ว หากการปฏิรูปฯ เดินหน้ากันต่อไป เป้าหมายที่ต้องคาดเดาได้ไม่ยากก็คือจะเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งเพื่อเป็นแนวทางเสนอต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่กำลังจะเดินเครื่องกันอย่างเต็มที่ในลำดับถัดไปอีกไม่นานนี้ และเมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลที่ถูกเชิญเข้าร่วมในสภาปฏิรูปแต่ละคนแล้ว มันก็ย่อมเห็นอนาคตข้างหน้ารออยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร
**คำถามก็คือ คนอย่าง บรรหาร สุวัจน์ หรือแม้แต่ อุกฤษ ก่อนจะปฏิรูปการเมือง ช่วยปฏิรูปตัวเองก่อนตายได้หรือเปล่า !!
