ส.ส.กทม.ขอปรับลดงบปรองดอง ชี้ไม่ใช่จัดงานอีเวนต์ “หมอวรงค์” ไม่เชื่อมือรัฐบาลหลังพบทุจริตจำนำข้าว พิลึกข้าวสารถูกกว่าข้าวเปลือก เสนอตัดงบฟุ่มเฟือย 5 หมื่นล้าน กมธ.เสียงข้างมาก ยันทำงานรอบคอบ “มาร์ค” จ่ออภิปรายซัดรัฐบาลจ้องผลาญงบผ่านประชานิยม-เมกะโปรเจกต์ “เสื้อแดง” จัดงานแต่งม็อบหน้าสภาฯ
วันนี้ (14 ส.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรณีพิเศษ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 ซึ่งตั้งวงเงินงบประมาณรายจ่ายไว้จำนวนทั้งสิ้น 2,525,000,000,000 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเป็นจำนวน 2,511,576,321,700 บาท และเพื่อชดใช้เงินคงคลัง เป็นจำนวน 13,423,678,300 บาท ซึ่งดำเนินตั้งแต่เวลา 09.45 น.ที่ผ่านมานั้น น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายว่า หลายโครงการดำเนินการของรัฐบาลยังมีข้อบกพร่อง ทำให้ต้องขอปรับลดงบประมาณลง 3 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการปรองดองสมานฉันท์นั้น ต้องทำความเข้าใจว่าปรองดองคือกระบวนการ ไม่ใช่การจัดงานอีเวนต์ ถ้าเงินสามารถซื้อความปรองดองได้ ของบมาเท่าไหร่ก็พร้อมสนับสนุน โดยความขัดแย้งนั้นเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมือง และ คอป.เสนอแนะว่าการปรองดองต้องใช้เวลาและต้องค้นหาความจริงเปิดเผยความจริง ปล่อยให้ยุติธรรม สร้างความปรองดองไม่ต้องใช้เงิน แต่วิธีคิดรัฐบาลคิดว่าเงินซื้อความปรองดองได้ ปีที่ผ่านมาได้อนุมัติงบ 413 ล้านบาทในโครงการปรองดอง ครึ่งหนึ่งให้กรมการปกครองทำกิจกรรมขับเคลื่อนนโยบาย 4 พันหมู่บ้าน แต่ไม่รู้ว่าทำอะไรบ้าง
“เงินจำนวนนี้ ต้องสร้างความกระจ่างว่านำไปทำอะไรบ้าง เพราะงบส่วนนี้เท่ากับงบพัฒนาสาธารณสุข ในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งถ้าให้ รพ.ต่างๆ ก็จะได้อาคารใหม่หอพักแพทย์ อุปกรณ์การแพทย์ แต่เรากำลังโยนทิ้งไปทำอะไรไม่รู้ อย่างการจัดเวทีปฏิรูป ที่เชิญโทนี แบลร์ ค่าตัว 20 ล้านบาทนั้น จะสร้างความสมานฉันท์เข้าได้หรือเปล่า” น.ส.รัชดา กล่าว
ด้าน นายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลตั้งสมมติฐานในการจัดงบประมาณว่าเศรษฐกิจจะโต 4.5-5.5 เปอร์เซ็นต์ แต่จากวาระหนึ่ง ผ่านมาถึงวาระสองสถานการณ์ส่อค้าไม่เป็นไปตามที่ประเมิน หลายสถาบันทั้งในและต่างประเทศประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะโตไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ แต่การจัดสรรงบยังยืนตามเดิมคือ 4.5-5.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้ขาดดุลมากขึ้น และเป็นหนี้มากขึ้นกว่าที่รัฐบาลแถลงให้ประชาชนรับทราบ โดยที่ผ่านมาสัญญาณหลายตัวน่าเป็นห่วง ทั้งการจัดเก็บภาษีที่ลดลง อีกทั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจชัดเจนว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เป็นตามที่คาด เอกชนไม่กล้าลงทุน การบริโภคติดลบ หนี้สูง แต่การปรับปรุงการทำจัดงบประมาณกลับไม่ตอบโจทย์เหล่านี้ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่หลายเมืองในอเมริกา ปีที่แล้วล้มละลาย 14 เมือง ปีนี้ล้มเพิ่ม 4 เมือง
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ไม่เชื่อฝีมือรัฐบาลชุดนี้บริหารราชการแผ่นดิน รู้สึกเสียดายงบ 2.5 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาปู้ยี่ปู้ยำ ซึ่งเป็นห่วงปัญหาเรื่องการทุจริต ไม่รู้ว่ากรรมาธิการ ได้เชิญนายกฯ มาถามว่า รัฐบาลเอาจริงจังกับการทุจริตหรือไม่ ทั้งที่นายกฯ เคยประกาศว่าจะปราบทุจริตอย่างจริงจัง โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าวที่ปัจจุบันยังมีการทุจริตในรูปแบบเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครเล่นจากนายปาล์มมาเป็นมาดามกง ที่ผ่านมาเคยยื่นเรื่องให้นายกฯ ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว แต่ถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับคำตอบ
“รัฐบาลบริหารโครงการจำนำข้าวล้มเหลว ขายข้าวไม่ได้ แถมยังต้องนำเข้าข้าวจากประเทศกัมพูชา พฤติกรรมที่ผ่านมารัฐบาลมีความไม่โปร่งใส แล้วยังมาขอเงินอีก ตนขอปรับลดภาพรวมแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะเรื่องการทุจริต ไม่โปร่งใส ไร้ประสิทธิภาพ และผลกระทบจากเศรษฐกิจมหภาค ผมไม่เชื่อฝีมือรัฐมนตรีบางคน วันนี้มีปรากฏการณ์อภินิหารข้าวไทย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ข้าวสารถูกกว่าข้าวเปลือก โดยข้าวสารตันละ 1.4 หมื่นบาท ขณะที่ข้าวเปลือกตันละ 1.5 หมื่นบาท ไม่เคยปรากฏขึ้นในโลก ฝ่ายบริหารชุดนี้รวนเรที่ปรับราคาโครงการจำนำข้าวกลับไปกลับมา ยืนยันไม่เห็นด้วยการลดราคาจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาท ควรไปปรับลดค่าใช้จ่ายในโครงการที่ไม่จำเป็นที่สูงถึง 5 หมื่นล้านบาทดีกว่า” นพ.วรงค์ กล่าว
ด้าน นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย กรรมาธิการเสียงข้างมาก ยืนยันว่า การพิจารณางบโครงการจำนำข้าวได้มีการตรวจสอบแล้วอย่างดี เพราะได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง รวมทั้งยังมีกรรมาธิการฝั่งพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาตรวจสอบ จึงควรให้ความไว้ใจการทำหน้าที่กรรมาธิการของพรรคตนเอง และได้มีการตัดงบในโครงการดังกล่าวไปถึง 990 ล้านบาท ถือว่าสมเหตุสมผล และที่ผ่านมากรรมาธิการก็ไม่เคยได้รับหนังสือเรื่องการทุจริตจาก นพ.วรงค์ เลย
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการอภิปรายงบประมาณในวาระ 2 ของวันแรกว่า ฝ่ายค้านได้เน้นประเด็นในเรื่องปัญหาวินัยทางการเงินการคลัง โดยชี้ให้เห็นถึงปัญหาการก่อหนี้ของรัฐบาล และประสิทธิภาพในการใช้เงินเพื่อกระตุ้นให้เกิดรายได้ในการบริหารของรัฐบาลชุดนี้มีปัญหา เพราะฉะนั้นการจัดงบประมาณที่มีจำนวนมาก แล้วก็ขาดดุลอย่างนี้ไม่เหมาะสม แล้วจะไปคาดหวังว่าจะมีเงินกู้มากระตุ้นเศรษฐกิจนั้น โดยข้อเท็จจริงก็คือรัฐบาลก็ยอมรับว่าเงินที่จะใช้ในโครงการเงินกู้ในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้ อยู่ที่ประมาณแสนกว่าล้าน ซึ่งไม่ได้เป็นจำนวนเงินมาก ที่สำคัญคือเป็นการจ้างที่ปรึกษาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นแสดงความห่วงใยต่อทิศทางในภาพรวม ส่วนในมาตราอื่นๆ ก็จะได้เจาะลงไปในงบประมาณเป็นรายกระทรวงต่อไป ส่วนตนจะอภิปรายเน้นในเรื่องการไร้วินัยทางการเงินการคลัง ผ่านทางโครงการ พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท และเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท รวมถึงยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศที่ไปพึ่งเรื่องของประชานิยม กับเมกะโปรเจกต์ต่างๆ
ส่วนบรรยากาศด้านหน้ารัฐสภา ซึ่งมีกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป.ตั้งเวทีอยู่ มีรายงานว่า นายสมโภชน์ อดุลย์ (ต้อม) และ นางสาวสุชาดา โนนขันแก้ว ได้จัดพิธีแต่งงานบนเวที โดยมีสื่อมวลชนและผู้ชุมนุมให้ความสนใจจำนวนหนึ่ง