คำขู่ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ระบุว่า จะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล “ข้าวปนเปื้อนสารพิษ” เป็นบทสะท้อนชัดอีกครั้งถึงหลักคิดของ ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยว่า
“เป็นพวกประชาธิปไตยปนเปื้อน” ทำให้ประเทศไทยได้ “รัฐบาลปนเปื้อน” มาวางยาพิษคนไทยทั้งชาติให้ตายผ่อนส่งอยู่ทุกวันนี้
เพราะการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนั้น เป็นหลักการที่รัฐบาลประชาธิปไตยที่แท้จริง ตระหนักดีว่ามีความสำคัญยิ่งเพราะอำนาจเป็นของประชาชน ผู้ที่เข้ามาเป็นตัวแทนในการใช้อำนาจต้องรู้จักที่จะจำกัดสิทธิการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารให้น้อยลง แต่ขยายสิทธิให้กับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ได้มีสิทธิในการรับรู้และตัดสินใจทั้งในประเด็นสาธารณะ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรงให้มากขึ้น
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อ้างตัวว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากฉันทานุมัติของคนไทย 15 ล้านเสียง กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหลักการประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
ด้วยการนำบทบัญญัติของกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการ “หมิ่นประมาท” ซึ่งเป็นการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล มาปิดปากไม่ให้ประชาชนและฝ่ายตรวจสอบเปิดโปงเรื่อง “ข้าวเน่า” ทั้งที่ “สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภคได้รับการคุ้มครอง” มาตั้งแต่ รธน.ปี 2540 โดยมีการบัญญัติไว้ในมาตรา 57
และมีการต่อยอดเพิ่มการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเข้มข้นมากขึ้นในมาตรา 61 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ระบุว่า “สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภค ย่อมได้รับการคุ้มครองในการได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง และมีสิทธิร้องเรียนเพื่อให้ได้รับการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย รวมทั้งมีสิทธิรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค...”
จะเห็นได้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ เลือกที่จะคุ้มครองบริษัทเอกชน และตัวรัฐบาลเอง โดยเอาภาพลักษณ์ของบริษัทผลิตข้าวถุงและรัฐบาลมาอยู่เหนือความปลอดภัยของประชาชน ด้วยการทำให้รัฐธรรมนูญมาตรา 61 เป็นหมัน เพราะ สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภค นอกจากจะไม่ได้รับการคุ้มครองให้ได้รับข้อมูลที่เป็นความจริงแล้ว ยังถูกข่มขู่คุกคามไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อรักษาสิทธิของผู้บริโภคด้วย
นอกจากนี้การออกมาร้องเรียนเพื่อให้มีการแก้ไขเยียวยากลับกลายเป็นพวกปล่อยข่าวลือทำลายภาพลักษณ์ข้าวไทยในสายตาของรัฐบาลประชาธิปไตย 15 ล้านเสียง
พลิกประชาชนจาก “ผู้เสียหาย” ในฐานะผู้บริโภค ให้กลายเป็น “จำเลย” ในคดีหมิ่นประมาทแทน
โดยไม่สนใจที่จะให้ความจริงกับประชาชนเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาให้ตรงจุด ทั้งนี้เป็นเพราะ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มิได้ดำรงสภาพความเป็น “รัฐบาล” ในสถานะองค์กรที่ใช้อำนาจบริหารในการปกครองประเทศอีกต่อไป
เนื่องจากกรณีปัญหาข้าวในทุกมิติที่เกิดขึ้นนั้น สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีสถานภาพไม่แตกต่างจาก “พ่อค้าข้าวที่เห็นแก่ตัว”
ที่เป็นเช่นนี้เพราะปัญหาทุกอย่างตั้งแต่การขาดทุนมหาศาล ทุจริตมโหฬาร มาจนถึงการทำลายอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบ จนคนไทยขาดความมั่นใจที่จะกินข้าวไทยเพราะไม่เชื่อถือในคุณภาพข้าวภายใต้การจัดเก็บรักษาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่เป็นพ่อค้าข้าวรายใหญ่จากนโยบายจำนำข้าว 15,000 บาททุกเมล็ด ในราคาที่สูงกว่าตลาด 40-50 %
เมื่อรัฐบาลกลายเป็น “พ่อค้า” จึงมีแต่สำนึกในการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความรับผิดชอบที่พึงมีต่อประชาชน เราจึงได้เห็นแต่การปัดสวะ โยนความผิดให้คนอื่น แต่ไม่เคยย้อนมองดูตัวเองว่าความผิดอยู่ที่การกำหนดนโยบายพลาดจนบานปลายกระทบชิ่งเข้าไปถึงในครัวของชาวบ้าน
ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะพอมีสำนึกอยู่บ้าง ต้องเลิกทำในสิ่งที่ทักษิณคิดเพื่อหยุดยั้งหายนะข้าวไทยในทันที ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีการช่วยเหลือชาวนาใหม่ เลิกเป็นพ่อค้าข้าวรายใหญ่ ปล่อยให้กลไกตลาดทำหน้าที่ ให้ระบบการค้าข้าวเดินหน้าได้ตามปกติ เคลียร์สต๊อคข้าวที่ตกค้างออกไป
ก็จะหยุดปัญหาเรื่องคุณภาพข้าวได้โดยไม่ต้องใช้น้ำลายมาปั้นวัวให้ควายดูแต่ไม่ได้ผลกับ “คน” อย่างที่ทำอยู่ในเวลานี้
เพราะคำถามมากมายที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพข้าวไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสื่อมสภาพ หรือการปนเปื้อนของสารเคมี ล้วนมีต้นเหตุจากความไม่มั่นใจในการเก็บรักษาข้าวจากการรับจำนำของรัฐบาล ที่ไม่สามารถระบายออกสู่ตลาดได้ตามคำคุยโม้ของรัฐบาลนั่นเอง
หากปัญหานี้ได้รับการแก้ไข ไม่มีข้าวค้างสต๊อคจนต้องฉีดยารมมอดหลายรอบ ก็ไม่มีความคลางแคลงใจเกี่ยวกับสารตกค้างในข้าวเช่นเดียวกัน
ต้นทุนของประเทศถูกทำลายลงไปมากแล้ว นับตั้งแต่ ยิ่งลักษณ์ชินวัตร ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากไร้ความสามารถขาดปัญญาที่จะสร้างทุนเพิ่มเติมให้กับสังคมไทย ก็ขอแค่ว่า อย่าทำลายมากไปกว่านี้เลย
เพราะทุกวันนี้กลไกของรัฐที่ถูกดึงมาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองก็กำลังเสื่อมสภาพตามรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ต่างจากยาที่หมดอายุ หากใครหลงผิดหยิบไปกินก็มีสิทธิถึงตาย
กรมวิชาการเกษตร กรมการข้าว กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และ คณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ต้องทบทวนตัวเองทำงานอย่างมืออาชีพ
ไม่ใช่ไปเป็นมือเป็นตีนให้กับการเมืองชั่ว จนมองข้ามชีวิตและความปลอดภัยของคนไทย อย่าทำลายต้นทุนทางวิชาการ มาตรฐานทางวิชาชีพด้วยการช่วยรัฐบาลเลวปกปิดความจริงเพื่อรักษารัฐบาลแต่สร้างอันตรายให้กับประชาชน
บริษัทข้าวถุงต้องเลิกมองแต่ผลประโยชน์ของตนเองในลักษณะสมยอมร่วมกับอำนาจรัฐมากดหัวประชาชน เพราะหากพวกท่านประกอบธุรกิจอย่างมีคุณธรรม ต้องมองออกว่า ปัญหาข้าวเน่า ข้าวปนเปื้อน มิได้เกิดจากความไม่เชื่อมั่นต่อผลผลิตของชาวนา ไม่ใช่เพราะประชาชนขาดความมั่นใจในมาตรฐานการผลิตของบริษัทข้าวถุง
แต่เกิดจากนโยบายรับจำนำข้าวที่ผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์หากต้องการหยุดปัญหาคุณภาพข้าว บริษัทข้าวถุงทั้งหลายต้องช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนในการชี้แนะต่อรัฐบาลให้ดำเนินนโยบายที่ถูกต้อง จึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่การไล่ฟ้องร้องประชาชนซึ่งเป็นผู้มีบุญคุณให้พวกท่านได้ค้ากำไร
ส่วนส.ส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชนต้องทำหน้าที่ให้สมกับการเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ทำหน้าที่เป็นขี้ข้าม้าใช้ให้กับ “พรรคเพื่อไทย” และ “ตระกูลชินวัตร” โดยต้องช่วยกันเปิดโปง ให้ความจริงกับประชาชน
ไม่ใช่การปกปิดหรือบิดเบือน เพื่อพิสูจน์ว่าพวกท่านไม่ได้ “ติดเชื้อ” ประชาธิปไตยปนเปื้อน มาจาก รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะมันอันตรายสำหรับประเทศไทยยิ่งกว่า “ข้าวปนเปื้อน” ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ในเวลานี้