ผ่าประเด็นร้อน
ลายคนคงอ้าปากค้างกับการแถลงของ “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ถึงผลการตรวจสอบข้าวสารบรรจุถุงสารพัดยี่ห้อที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดว่า “มีสารปนเปื้อนตกค้าง” ปะปนอยู่ตั้งแต่ “น้อยมากไปจนถึงมากเกินมาตรฐาน” โดยมีการแจกแจงอย่างละเอียดยิบให้เห็นว่าแต่ละยี่ห้อนั้นมีสารปนเปื้อนอยู่ในระดับใด เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจก่อนที่จะซื้อหามาหุงรับประทาน ซึ่งก็ต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่ว่านี่คือ “สิทธิของผู้บริโภค” ที่ต้องรับรู้ และต้องได้รับการคุ้มครอง และแม้ว่าสารปนเปื้อนดังกล่าวอาจยังไม่สูงเกินมาตรฐานสากลตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดเอาไว้ที่ 50 พีพีเอ็ม แต่ความหมายก็คือ มันก็มี “สารเคมีปนเปื้อน” อยู่ไม่น้อย
เพราะถ้าวัดตามค่ามาตรฐานที่กำหนดของแต่ละประเทศ เช่น จีนกำหนดเอาไว้ไม่ให้มีสารปนเปื้อนเกิน 5 พีพีเอ็ม อินเดียไม่ให้เกิน 25 พีพีเอ็ม แต่ของไทยเท่าที่ผลการตรวจสอบออกมาส่วนใหญ่เกิน 25 พีพีเอ็มแทบทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน จากนี้ไปยังต้องลุ้นผลการตรวจหา “เชื้อรา” ตามมาอีกที่เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค “สารี อ๋องสมหวัง” แถลงว่ายังตรวจสอบไม่เสร็จต้องรออีกระยะหนึ่งเพื่อให้การตรวจสอบอย่างละเอียดและถูกต้องเสียก่อน
ผลที่ออกมารับรองว่าสร้างความหวาดผวาให้แก่ชาวบ้านอย่างมากแน่นอนต่อการบริโภคข้าว ซึ่งเป็นอาหารจำเป็นทุกครัวเรือน แต่เมื่อผลออกมาแบบนี้เราก็ต้องหาทางออกร่วมกันบนพื้นฐานของความปลอดภัยของผู้บริโภคให้มากที่สุด และอย่างน้อยผลการตรวจสอบของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคครั้งนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อหามาบริโภค เพราะมีการแจกแจงให้เห็นว่าแต่ละยี่ห้อมีสารปนเปื้อนอยู่ในระดับใด มากน้อยแค่ไหน
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นการ “ตบหน้ารัฐบาล” และหน่วยงานของรัฐบาล ที่ถูกใช้เป็นเครื่่องมือ “สร้างภาพ” ตบตาชาวบ้าน ที่มีการเดินสายสุ่มตรวจตามโกดังโรงสีของเอกชน รวมไปถึงตรวจบริษัทค้าข้าวถุงบางบริษัท เพื่อการันตีความปลอดภัย โดยกระทรวงพาณิชย์ นำโดยนายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลเรื่องข้าวโดยเฉพาะ ซึ่งเวลานี้กำลังจะกลายเป็น “นักสร้างภาพ” เชื่อถือไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นองค์การอาหารและยา (อย.) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่รับหน้าที่สุ่มตรวจข้าวถุงแล้วผลออกมาว่า “อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานปลอดภัย” สามารถบริโภคได้ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ “พูดไม่หมด มีการ ปิดบังข้อมูล” บางส่วนเอาไว้ ไม่พูดว่ามีสารตกค้างอยู่เพียงแต่ไม่มากเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ แต่คำถามก็คือ ทำไมไม่บอก และถามต่อไปว่า “มาตรฐานของใคร” เพราะจากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ค่ามาตรฐานของจีนกำหนดไว้ไม่เกิน 5 พีพีเอ็ม, อินเดีย 25 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องบอกว่าข้าวสารบรรจุถุงของไทยมีสารปนเปื้อนตกค้างเกินค่ามาตรฐานเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ดี หากจะให้พูดด้วยความเป็นธรรม และกลางๆ ที่สุดก็อาจพูดได้ว่า ข้าวสารบรรจุถุง หรือไม่บรรจุถุงจะมีสารปนเปื้อนแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนมีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนต้นคิดสั่งให้ทำนั่นแหละ เพียงแต่ว่าตอนนั้นความหวาดระแวง ความหวาดกลัวยังไม่เกิดขึ้นเหมือนในปัจจุบัน
เพราะหากพูดก็ต้องย้อนรอยให้เห็นขั้นตอนมาตั้งแต่ต้น ให้เห็นถึงร่องรอยหายนะจากโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาลชุดนี้เสียก่อน เพราะนี่คือต้นเหตุของความหายนะของข้าวไทย หายนะของธุรกิจค้าข้าวไทย โดยเฉพาะการส่งออก และในอนาคตอีกไม่นานก็จะเป็นหายนะของชาวนาไทยตามมาติดๆ เพราะการรับจำนำ(ซื้อ)มาทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าราคาตลาดลิบลิ่วแล้วมาเก็บเอาไว้จนล้นโกดัง ซึ่งในจำนวนนี้มีข้าวสวมสิทธิ์เวียนเทียนทั้งในและจากประเทศเพื่อบ้านอีกนับแสนตัน จะขายออกไปก็ไม่มีใครซื้อ เพราะแพงหูฉี่ นอกจากขายขาดทุนให้กับ “นายทุนพวกเดียวกัน” แต่จะส่งออกก็ทำได้ยากเพราะแพงมากดังกล่าวจนต้องเสียตลาดให้กับประเทศคู่แข่งไปแล้ว
เมื่อขายไม่ออกก็ต้องเก็บไว้ ให้เป็นอาหารของ นก มอด หนู แมลงสาบ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวออกมา ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติอยู่ล้วสำหรับข้าวที่เก็บไว้นานเกิน 6 เดือนขึ้นไป และที่ผ่านมาในการเก็บข้าวย่อมต้องมีการ “รมยา” เพื่อทำลายกำจัดพวกแมลงดังกล่าวอยู่แล้ว แต่ทีนี้เมื่อข้าวที่เก็บเอาไว้นาน จากปัญหาระบายไม่ออก มันก็ต้องยิ่งรมควันมากกว่าเดิม เร็วกว่าเดิม เพราะข้าวเสื่อมคุณภาพ จากเดิมอาจ 3-4 เดือนครั้ง อาจต้องเพิ่มความถี่เป็น 1-2 เดือนครั้ง ซึ่งตามปกติจากคำยืนยันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐมักอ้างว่าสารเคมีเหล่านี้มักระเหยไปหมดเมื่อเวลาผ่านไปกำหนด เช่น 5 วัน หรือ 10 วัน แต่ปัญหาก็คือ เมื่อข้าวเก็บไว้นานมากเท่าไรก็ยิ่งเสื่อมคุณภาพมากขึ้นไปอีก และนี่แหละคือต้นตอของความหายนะของข้าวทั้งระบบที่มาจากนโยบายประชานิยมมักง่ายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ทำได้ทุกอย่าง หากไม่ต้องใช้เงินของตัวเอง ครอบครัวตัวเอง
ล่าสุด นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาวิงวอนว่าอย่าขยายผลเรื่อง “ข้าวเน่า-ข้าวปนเปื้อนสารเคมี” อ้างว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจค้าข้าว ทำลายข้าวและชาวนาไทยนั้น นาทีนี้คงทำไม่ได้แล้ว ในทางตรงกันข้ามต้องมีการตรวจสอบและมีการพูดถึงขยายผลให้มากกว่าเดิม เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค ทุกอย่างจะต้องโปร่งใสเท่านั้น ไม่ใช่รวมหัวกันปิดบังอย่างที่เป็นอยู่ และที่สำคัญฝ่ายที่ทำลายข้าว ทำลายชาวนาที่แท้จริงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นายกฯ ที่ไม่มีสติปัญญาปกปิดปัญหา และทักษิณ ชินวัตร ที่คิดแบบโง่ๆ มักง่าย ที่หวังเพียงแค่หลอกต้มหาคะแนนเสียงนั่นแหละ!!