ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้าข้าวเสื่อมคุณภาพเดินหน้าตรวจสอบข้าวเข้มงวด จะตรวจทั้งข้าวถุงในตลาด ข้าวในโรงสี โกดังผู้ส่งออก โกดังข้าวรัฐ เริ่มสัปดาห์หน้า ไล่ตรวจดะตั้งแต่สารเคมีตกค้าง อัลฟาทอกซิน หวังสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบใครเกินมาตรฐานดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด
นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมเกี่ยวกับศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้าข้าวเสื่อมคุณภาพ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ที่ประชุมจะร่วมกันตรวจสอบข้าวสารที่ขายในท้องตลาดให้ถี่ขึ้นกว่าปกติ โดยในเบื้องต้นจะเน้นข้าวสารบรรจุถุงแบรนด์ที่มีผู้บริโภคจำนวนมาก รวมถึงจะตรวจสอบข้าวของโรงสี ผู้ส่งออกต่างๆ และข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลที่ฝากเก็บอยู่ในโกดังต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่คนไทย และผู้ซื้อต่างประเทศ โดยแต่ละหน่วยงานจะทำแผนปฏิบัติการในการตรวจสอบร่วมกัน และจะเริ่มตรวจสอบได้ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในการตรวจสอบนอกจากจะตรวจสอบสารเคมีตกค้าง และปนเปื้อนแล้ว จะตรวจสอบถึงสารอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นและเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภค เช่น อัลฟาทอกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และอาจเกิดขึ้นได้จากความอับชื้น หรือข้าวเปียกน้ำ โดยการตรวจสอบเป็นการทำงานเชิงรุก ไม่ต้องรอให้มีการร้องเรียนเกิดขึ้นก่อนว่าพบข้าวไม่ปลอดภัย มีสารพิษตกค้าง แต่จะทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น โดยในการตรวจสอบจะต้องเก็บตัวอย่างข้าวในปริมาณที่มากพอ ไม่ใช่เก็บตัวอย่างน้อย และอ้างว่าไม่เจอสารพิษตกค้าง หรือไม่ใช่อ้างว่าพบสารพิษตกค้าง เพราะพยายามตรวจจนกว่าจะหาให้เจอ ต้องทำตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้
โดยผลการตรวจสอบ หากพบว่าข้าวสารของผู้ผลิตรายใดมีสารเคมีตกค้างเกินกว่าปริมาณที่กำหนดจะใช้กฎหมายของหน่วยงานต่างๆ ดำเนินการ เช่น ตามกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หากเป็นอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานตามมาตรา 26 (1) ผู้ผลิตจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ นอกจากนี้ ยังอาจสั่งให้ปิดโรงงาน อายัดสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เอาสินค้าออกจากท้องตลาด หรืออาจสั่งให้ทำลายทิ้ง อย่างไรก็ตาม ยังยืนยันว่าข้าวไทยยังปลอดภัยสำหรับการบริโภค และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวของประเทศอื่นๆ จึงทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งเฉลี่ยตันละ 50-100 เหรียญสหรัฐมาโดยตลอด