ผ่าประเด็นร้อน
กลายเป็นว่าเมื่อเกิดกรณี “คลิปอุบาทว์” หลุดออกมาประจานคนชั่ว มองอีกมุมหนึ่งมันก็เป็นคุณูปการให้กับบ้านเมืองได้ไม่น้อย เพราะเหมือนกับว่า “ฟ้ามีตา” ที่บันดาลให้มีการ “กระชากหน้ากาก” ความคิดชั่วของ คนที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร กับชายแก่อีกคนหนึ่ง ที่ชื่อ ยุทธศักดิ์ ศศิประภา จนทำให้ทั้งคู่หมดสภาพไปในชั่วข้ามคืน ไม่อาจมองหน้าคนอื่นได้เหมือนเดิมแล้ว
ทำให้สังคมได้เห็นใบเสร็จความเลว ได้อย่างจะแจ้งที่สุด โดยเฉพาะคนที่เคยหลงไหลได้ปลื้มกับ ทักษิณ มานาน ว่านี่แหละคือพ่อพระ “รวยแล้วไม่โกง” แต่จะทำเพื่อคนจนได้ลืมตาอ้าปาก แต่เมื่อได้ฟังคลิปดังกล่าวมันก็ได้เห็นกันหมดเปลือกว่าทุกลมหายใจของคนๆนี้คิดแต่จะ “ฮุบ” เอามาเป็นของส่วนตัว ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเองและครอบครัวเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงคนอื่น มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนในการครอบครองกองทัพแบบ “ขั้นบันได” ตั้งแต่การโยกย้ายปีนี้ไปจนถึงปี 2557 ถึงตอนนั้นทุกอย่างจะอยู่ในมือของ ทักษิณ ชินวัตร อย่างเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียว
ถึงตอนนั้นเมื่อคุมกองทัพอยู่ในมือก็รุกคืบเข้าไปใน “วัง” เป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ตำแหน่ง “ที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”
นอกจากนี้สิ่งที่เป็นใบเสร็จสำคัญที่หลุดออกมาก็คือ เป้าหมาย “ข้ามชาติ” ด้วยการวางแผนเข้าไป “ฮุบ”อภิมหาโปรเจ็กต์ที่ทวายของพม่า แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีข้อสงสัยสำหรับคนที่รู้ทันมานานแล้ว เพียงแต่วันยังไม่มีอะไรมายืนยันได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อมีคลิปสนทนาดังกล่าวออกมาทำให้ร้องอ๋อ เพียงแต่ว่าคาดไม่ถึงเท่านั้นว่า “ทำไมเลวถึงขนาดนี้”
ที่ผ่านมามีการสงสัยมานานแล้วว่า ทักษิณ เที่ยวเดินสายไปพบกับผู้นำพม่า รวมไปถึงบุคคลสำคัญมีเจตนาอย่างไรกันแน่ เพียงแต่ระแคะระคายว่าต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในโครงการเศรษฐกิจพิเศษทวาย รวมไปถึงการเดินสายโรดโชว์ดึงนักลงทุนญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งคราวนั้นก็มีการตั้งคำถามว่ามีความเหมาะสมเพียงใดกับการดึงนักลงทุนญี่ปุ่นมาลงทุนในทวายแทนที่จะดึงมาลงทุนในประเทศไทย และกรณีของทวายนั้นก็ยังเป็นการใช้งบประมาณของรัฐไปลงทุน แต่คนที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์กลับเป็น ทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มทุนบางกลุ่มที่ใกล้ชิดอย่างนั้นหรือเปล่า
แต่เมื่อได้ยินคำสนทนาในคลิปทำให้ยิ่ง “ขยะแขยง” ทุเรศหนักยิ่งกว่าเดิม ว่าแท้จริงแล้วในการเดินทางไปเจรจากับผู้นำพม่าล้วนแล้วแต่มีการเสนอผลประโยชน์ใต้โต๊ะกันทั้งสิ้น และที่สำคัญไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย เพราะจากการพาดพิงไปถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่าที่ชื่อ “มิน อ่องลาย” และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาพม่า ที่มีความพยายามเข้าไปตีสนิทแลกเปลี่ยนประโยชน์เพราะอ้างว่าสองคนดังกล่าวมีอิทธิพลทางการเมืองสามารถเป้าหมายของ ทักษิณ สำเร็จได้ไม่ยาก เหมือนกับตอนหนึ่งของคำสนทนาที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา บอกว่า “ทวายเสร็จเราหมด”
คำพูดในคลิปเป็นการกระชากหน้ากากของผู้ร้ายออกมาให้เห็นอย่างหมดเปลือก อีกด้านหนึ่งก็เป็นผลดีที่ทำให้หลายคนที่เคยสายตามืดบอดหลงเชื่อ ทักษิณ คิดว่าเป็นพ่อพระเสียสละเพื่อคนจน หรือเชื่อว่า “รวยแล้วไม่โกง” เพราะทุกอย่างมันตรงกันข้าม เพราะมัน “คิดโกงยิ่งกว่าเดิม” ใช้อำนาจในของ “น้องสาว” ที่เป็นนายกรัฐมนตรี “หุ่นเชิด” ขยายเครือข่าย “ข้ามชาติ” จ้องฮุบผลโยชน์ในประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ดี นี่เป็นข่าวร้ายสำหรับทักษิณ และเครือข่าย ที่ถูกเปิดโปงออกมาให้เห็นเสียก่อน ทำให้แผนการชั่วต่างๆ ที่วางเอาไว้ทำได้ยากขึ้น เพราะมีคนคอยจ้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด อย่างน้อยทุกอย่างที่สนทนากันในคลิปดังกล่าวก็จะถูกสังคมมองว่าจะเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า
และนี่คือข่าวร้าย เป็นเรื่องใหญ่ ยังกระแทกเข้าใส่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าไปเต็มๆ เพราะจากเดิมที่มีผลงาน “ห่วยแตก” ล้มเหลวในทุกเรื่อง ซึ่งไม่ต้องสาธยายรายละเอียดกันอีก สารพัดโครงการประชานิยมกำลังพ่นพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้อง ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน โครงการรับจำนำข้าวที่ทำให้ตลาดข้าวพังพินาศ เกิดการทุจริตทุกขั้นตอนทุกเมล็ด และในที่สุดกำลังจะทำให้มีผลกระทบต่อฐานะการคลังของประเทศ เพราะเกิดภาวะขาดทุนอย่างมหาศาล ซึ่งสังคมรับรู้กันไปแล้ว
นี่คือเรื่องใหญ่ที่เป็นข้อสรุปสุดท้ายเป็นตัวเร่งทำให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีเป็น “ยิ่งลักษณ์ 5” มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จาก บุญทรง เตริยาภิรมย์ มาเป็น นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ซึ่งนิวัฒน์ธำรงคนเดียวกันนี่แหละที่เป็นประธานคณะกรรมการประสานงานติดตามความคืบหน้าโครงการในทวายไงละ ซึ่งแบ็กกราวด์ของคนคนนี้ก็ไม่ต่างจาก “เด็กในบ้านทักษิณ นั่นแหละ แต่ความหมายของการปรับคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเพื่อหวังปรับปรุงภาพลักษณ์ที่ติดลบ “ยื้อขาลง” ของรัฐบาลออกไปก่อน แต่กลายเป็นว่าเมื่อมาเจอกับคลิปอุบาทว์แบบไม่คาดหมายดังกล่าว มันก็กลายเป็นว่าสภาพขาลงของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว เพราะมันดิ่งลงมาแบบหัวปักกันเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องจับตาอย่างที่ไม่อาจกระพริบได้เลยก็คือ การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เดินเครื่องเต็มตัวเข้ามาตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยเรียก สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบบัญชีโครงการรับจำนำข้าวที่ระบุว่ามีการตรวจพบการทุจริตทุกขั้นตอน ทุกเมล็ด จนทำให้รัฐขาดทุนไม่น้อยกว่า 2.6 แสนล้านบาท จนถูกรัฐบาลตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย แต่ล่าสุดทาง ป.ป.ช.ได้เตรียมเข้ามาแทรกแซงด้วยการใช้กฎหมายเฉพาะเข้ามาคุ้มครอง กลายเป็นว่ากรณีดังกล่าวนี่แหละอาจทำให้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีสิทธิ์ติดคุกได้
กรณีของสุภานั้นเวลานี้กลายเป็นบุคคลสาธารณะไปแล้ว ในฐานะเป็นผู้เปิดโปงการทุจริต ดังนั้น ถ้าหากรัฐบาลไปรังแก หรือโยกย้ายทางหนึ่งก็เท่ากับว่าต้องการปกปิดการทุจริตของตัวเอง และอีกทางหนึ่งก็จะถูกมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งข้าราชการน้ำดี มีแต่เสียกับเสีย
ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช.เดินเครื่องเต็มที่แล้วเริ่มพบหลักฐานที่เกี่ยวกับเช็คที่ได้มาในเบื้องต้นจำนวนกว่า 1.4 พันใบ จากโครงการขายข้าวในแบบจีทูจี ว่ามี “พิรุธ” ส่อไปในทางทุจริตชัดเจน ซึ่งกรณีการทุจริตจากโครงการดังกล่าวนี่แหละที่อาจเป็นจุดตายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี เพราะก่อนหน้านี้ทางปปช.เคยส่งหนังสือเตือนให้รัฐบาลระมัดระวังในการดำเนินการตั้งแต่ต้น แต่ตอนนั้นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยถือว่าตัวเองมีเสียงข้างมาก กำลังได้รับความนิยม “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” มวลชนยังให้กำลังใจข้างหลังแน่นหนาไม่เกรงใจใครอยู่แล้ว แต่มาวันนี้บรรยากาศตรงกันข้าม เสียงด่าทอดังขึ้นทุกวัน
ที่สำคัญ รัฐบาลปู 5 ที่แม้จะเพิ่งเริ่ม แต่ก็เจอแต่ข่าวร้ายไม่เว้นแต่ละวัน เอาแค่สองเรื่องหลัก ทั้ง “คลิปอุบาทว์กับจำนำข้าว” ก็แทบอ้วกแล้ว นี่ยังไม่นับพวก “ขี้ข้า” ที่ฟัดกันเอง อย่างกรณี เฉลิม อยู่บำรุง กับพวกแก๊งไอติมรอบตัวนายกฯ รวมไปถึงคนเสื้อแดงที่กำลังถูกลอยแพไม่ค่อยดูแลกันเหมือนเก่า มันก็ยิ่งเกิดแรงกระเพื่อมได้เร็วขึ้น จะอยู่ถึงสิ้นปีหรือเปล่ายังไม่รู้เลย!!