ผ่าประเด็นร้อน
ประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ชุด “ปู 5” กันอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว รายชื่อส่วนใหญ่ไม่ได้ผิดไปจากโผรายชื่อที่คาดการณ์เอาไว้ตามสื่อต่างๆ กันมากนัก อาจจะแปลกใจนิดหน่อยตรงที่โยก นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้มาทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีในวาระที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องมีภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ นอกเหนือจาก “เปลี่ยนหน้า” เข้ามารับไม้ต่อเดินหน้านโยบายรับจำนำข้าวแทน บุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่ทำผลงานห่วยแตกไปก่อนหน้านี้
ที่น่าจับตาก็คือ หากนิวัฒน์ธำรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองนายกฯ อันดับ 1 จริงๆ นั่นเท่ากับว่าเป็นการเข้ามาสวมแทนตำแหน่งเดิมของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ความหมายก็คือ “ไม่ไว้ใจ” คนเดิมอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์แล้วก็ต้องยอมรับว่า คนอย่างนิวัฒน์ธำรงถือว่า “เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง” มากับครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร มานมนานแล้ว ไว้ใจได้ และหากพิจารณาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่แหลมคมนับจากนี้ไปต้องเค้นเอาเฉพาะประเภทดังกล่าวเท่านั้น พวกที่เคยมีประวัติเป็น “นักแบล็กเมล์” มาก่อนต้องหาทางลดบทบาทลงไป หรือหากเป็นไปได้ก็ใช้วิธีการบีบคั้นทางด้านจิตใจจนปั่นป่วนฟูมฟายจนสติแตกเสียคนไปเองก็เป็นไปได้เหมือนกัน
แน่นอนว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนกระทั่งมีประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ “ยิ่งลักษณ์ 5” อย่างเป็นทางการไปแล้ว แทบทุกสายตาก็ยังจับจ้องไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานคนใหม่ที่ชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เพราะถือว่ายังเป็น “ตัวละคร” ที่น่าติดตาม โดยเฉพาะคราวนี้ถือว่าเป็นการ “ลดบทบาท” ชนิดที่เรียกว่า “ไม่ให้ราคา” หลงเหลืออยู่เลย เพราะจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอันดับ 1 ที่ต้องทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีในช่วงที่นายกฯ ตัวจริงต้องปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ อีกทั้งยังเคยเป็นรองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นั่งหัวโต๊ะในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับนายพลทุกระดับ ยกเว้นเพียงแค่การแต่งตั้งระดับผู้บัญชาการตำวจแห่งชาติเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น และการได้คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวนี่แหละ ในวงการก็ย่อมเข้าใจดีว่านี่แหละคือยอดปรารถนาของ เฉลิม อยู่บำรุง นอกเหนือจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
แต่การโยกไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นอกจากเห็นกันได้ชัดเจนว่านอกจากเป็นการ “ลดเกรด” แล้วอีกด้านหนึ่งมันก็ไม่ต่างจากการ “เหยียดหยาม” แต่ก็ยังถือว่ามีเยื่อใยอยู่บ้างที่ไม่หลุดพ้นออกไปจากรัฐบาลเหมือนกับหลายคนในคราวเดียวกัน อาจเป็นเพราะยังปรานีกับคนที่ปวารณาตัวเป็น “ขี้ข้า” พร้อมรับใช้นายใหญ่และคนในครอบครัว ทั้งที่หากมองกันตามความเป็นจริงแล้วบทบาทของเฉลิม อยู่บำรุง นั้นเป็นลักษณะ “สายล่อฟ้า” คอยตัดแต้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าที่ผ่านมาจะทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯในสภาทุกเรื่องก็ตาม แต่บางทีการพูดมากพูดทุกเรื่องมันก็ไม่ใช่เกิดผลดีเสมอไป เพราะการให้สัมภาษณ์ของเขามัก “เรียกแขก” รวมไปถึงบทบาทในการเป็นหัวหอกในการเสนอร่างพระราชบัญญัติปรองดองฯ ก็ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวคัดค้านตามมา แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยบ่นออกมาดังๆ ว่า “มีบางคนไม่อยากให้กลับบ้าน เพราะกลัวว่าตัวเองหมดความสำคัญ” แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อใครโดยตรง แต่ทุกสายตาก็ย่อมจับจ้องไปที่ “เฉลิม” อยู่แล้ว เพราะมีคนมองว่าสอดแทรกเข้ามาหาประโยชน์แบบไม่ต้องลงทุนในช่วงที่แถวหนึ่งแถวสองถูกเว้นวรรคการเมือง
เมื่อถึงเวลาที่คนพวกนี้หวนกลับคืนมารับตำแหน่งทางการเมืองได้แล้ว และทยอยเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีตั้งแต่ปรับคณะรัฐมนตรีคราวนี้แล้ว และยิ่งเห็นได้ชัดในครั้งนี้ที่เริ่มตบเท้าเข้ามากันพรึบ จนอาจเป็นเหตผลหนึ่งก็ได้ว่า “หมดเวลาของเหลิม”แล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงแบ็กกราวนด์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นั้นรับรองว่าไม่ธรรมดา และคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน นอกจากด่ากราดกล่าวหาว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) รวมทั้งเอ่ยชื่อ นพดล ปัทมะ ว่าเป็นคนใส่ไฟจนเป็นต้นเหตุทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งรองนายกฯ ไม่ได้คุมตำรวจ ต้องไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานดังกล่าว แต่หากพิจารณาให้ดีเป้าหมายลึกๆ แล้วน่าจะเป็นการ “กระทบชิ่ง” ไปถึงทักษิณ กับยิ่งลักษณ์มากกว่า ทำนองว่า “หูเบา” เชื่อคำยุยง และคำพูดที่ออกมาในเชิงข่มขู่ตามมาที่ว่า “ในวงการนอกจากสมัคร สุนทรเวช แล้วก็ยังมี เฉลิม อีกคนที่ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูด้วย” มีความหมายที่ต่องการสื่อไปไกลถึงต่างแดน ให้หนาวกันบ้าง เพราะต้องรู้ว่าในทางการเมืองคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “นักแบล็กเมล์” ตัวฉกาจที่สุดย่อมหมายถึงใคร
ขณะเดียวกันยังมีคำพูดลอยลมในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันทำนองว่า “ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก” นั้นหมายถึงอะไร หรือมองว่านับจากนี้สถานการณ์การเมืองกำลังแหลมคมมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลกำลังเจอมรสุมรุมเร้า ฝ่ายต่อต้านผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด การขาดองครักษ์แบบเขาแล้วจะรู้สึกหรือเปล่า หรืออีกมุมหนึ่งเป็นการข่มขู่ก็ได้ว่า ให้ระวังตัวให้ดี เพราะต้องไม่ลืมว่าคนอย่างเฉลิมนั้นกำความลับของรัฐบาลเอาไว้มากทั้งตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และทักษิณ ถ้าเกิดบ้าเลือดแฉขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้นลองหลับตานึกภาพเอาก็แล้วกัน
ดังนั้นเมื่อประเมินสถานการณ์ทั้งสองด้านแล้ว ทั้งฝ่ายรัฐบาลและตัวเฉลิม อยู่บำรุง ใครกันแน่ที่จะรู้สึก จะมีชะตากรรมทรามอย่างไรกันแน่... อีกไม่นานนับจากนี้ก็น่าจะเห็นกันแล้ว!!