โลดแล่นในแวดวงไฮโซไซตี้เมืองไทย มายาวนานเกือบ 30 ปี ยาจิตร ยุวบูรณ์ ไฮโซสาวรุ่นเก๋าเจ้าของทรงผมซอยสั้น ใบหน้าอวบอิ่มยิ้มหวาน ก็เกษียณตัวเองหันไปให้เวลากับครอบครัว และศึกษาศาสตร์แห่งการพยากรณ์เต็มตัว แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่ได้ละทิ้งสังคมเสียทีเดียว ยามใดมีงานเพื่อสังคมเธอจะปรากกฏกายให้เห็น ซึ่งการออกงานแต่ละครั้ง ก็ไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง เพราะนอกจากจะสวยสง่าน่ารักแล้ว เธอยังมีเรื่องราวดีๆ อย่างต่อเนื่อง
ที่ โปโล สปอร์ตคลับ ในช่วงเวลาแดดร่มลมตก เรามีนัดกับ ยาจิตร ยุวบูรณ์ สาวสังคมยุคบุกเบิก เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวย้อนยุคของไฮโซเมืองไทยในครั้งกระนั้น
ยาจิตร ในวันนี้ แม้อายุจะล่วงเลยใกล้ 70 ปีแล้ว แต่เธอยังคงสวยสดใสขีดความเปรี้ยวยังสูงปรี๊ด ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ด้วยบุคลิกท่วงท่าแคล่วคล่องว่องไว รวมถึงการวางตัวที่โดดเด่น กล่าวเริ่มต้นอย่างเป็นกันเองว่า “สังคมสมัยก่อน ยังไม่มีคำว่าเซเลบริตีนะคะ จะมีแต่ไฮโซไซตี้เพียงอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้คนจะติดปากคำว่า เซเลบหรือเซเลบริตีกันมาก ซึ่งพี่มองว่าเซเลบเหมือนนักแสดงหน่อยๆ แต่ไฮโซจะต้องเป็นคนทำงาน ต้องจริงจัง ที่สำคัญคือ ต้องเสียสละ เพราะเมื่อก่อนส่วนมากเป็นงานการกุศลทั้งนั้น ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เน้นงานเปิดตัวสินค้า”
ยาจิตรขยายความนิยามของคำว่า “ไฮโซไซตี้” สมัยก่อนถือเป็นเรื่องใหญ่มาก โดยเฉพาะ ในสังคมต่างประเทศ เช่น อังกฤษ คนที่ถูกเรียกไฮโซจะต้องเป็นคนดังมาจากตระกูลดี ต้องมาจากแบ็กกราวนด์ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่พึงมีคือ สติปัญญา ความรู้ ความเป็นผู้ดี แต่ในเมืองไทย ความที่คนเห็นภาพตามงานในหนังสือพิมพ์ ทำให้คิดว่าไฮโซเป็นคนฟุ้งเฟ้อ ทั้งที่ในความเป็นจริงการออกงานแต่ละครั้ง ล้วนมีจุดหมายของตัวเองทั้งนั้น ดังนั้น เมื่อใครเรียกเธอเช่นนี้จึงไม่ค่อยภูมิใจนัก
“เวลาคนมาสัมภาษณ์เรา จะดูเหมือนเป็นคนฟุ้งเฟ้อซักหน่อย เช้าตื่นขึ้นมาวุ่นวายอยู่กับการแต่งตัวให้เป็นจุดเด่นอย่างเดียว ไม่มีสาระอะไร ความปลาบปลื้มอยู่แค่ เราเป็นที่รู้จักในวงสังคม เพราะเรามีแบ็กกราวนด์ ครอบครัวเราไม่ใช่เศรษฐี คุณพ่อทำงานเป็นผู้ช่วยท่านทูตอาร์เจนตินา พี่ต้องออกงานสังคมกับคุณพ่อ ห้อมล้อมด้วยฝรั่งต่างชาติตั้งแต่อายุ 13 ปี เราจึงดูเปิ๊ดสะก๊าดกว่าคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน” ไฮโซสาวใหญ่กล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เป็นกันเอง
ไฮโซรุ่นเก๋ายังบอกอีกว่า เมื่อก่อนการจะเข้าสังคมชั้นสูงเพื่อให้คนยอมรับ ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากครอบครัวดีเป็นที่รู้จักของผู้คนแล้ว มารยาททางสังคม สติปัญญา ความรู้ความสามารถในการช่วยสังคม ก็เป็นเรื่องสำคัญ
“พี่จะเลือกออกงานที่เป็นประโยชน์กับสังคม ไม่เคยไปไหนเลื่อนลอยเพ้อเจ้อโดยไม่ได้อะไรกลับมาเด็ดขาด มีคนเคยมาถามพี่ว่า การที่มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ทุกวัน เสียเงินเท่าไหร่ ยอมรับว่าได้ยินแล้วตกใจมาก เพราะตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา พี่ไม่เคยต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว การ์ดแต่ละใบที่ได้มาจากการเชิญ หมายถึงเราต้องเป็นฝ่ายมอบให้งานการกุศลนั้นๆ เราไม่ควักกระเป๋าเพื่อเสริมตัวเอง เราไปด้วยใจ ด้วยเกียรติที่เขามอบให้เรา”
ยาจิตรยอมรับว่า สมัยก่อนงานสังคมจะไม่มากเหมือนทุกวันนี้ นานๆ มีครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งงานจะจัดอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ และแขกที่ได้รับเชิญก็มีไม่มาก และทุกคนก็เตรียมตัวเป็นการใหญ่ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม เพื่อให้สมกับงานที่ได้รับเชิญ
“กลุ่มของพี่ที่สนิทกันมากจะมี คุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน และฟาริดา บุญยศักดิ์ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก กลุ่มเราจะสบายๆ แต่งตัวกันตามสไตล์ที่ชอบ มีวัฒนธรรม ไปถึงก็จะคุยกันเฮฮาสนุกสนานละมุนละไมกันไป มีช่วงหนึ่งพี่ท้อง ก็ไล่เลี่ยกันกับฟาริดา เราอุ้มท้องไปงาน ไม่จำเป็นต้องสวยขอแค่ได้ทำงานที่ชอบและเกิดประโยชน์ ทุกวันนี้เราก็ยังเจอกันนะคะ เพียงแต่อายุมากขึ้นและทุกคนต่างก็มีภาระรับผิดชอบต่างกันเราก็ต้องแยกย้ายกันทำงานพร้อมกับให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น”
สำหรับงานสังคมปัจจุจัน หากมีคนเชิญร่วมงานเธอยินดีที่จะไปร่วมงาน เพียงแต่เธอจะเลือกดูว่างานนั้นเหมาะกับเธอหรือไม่ เพราะปัจจุบันเซเลเบตี้ก็มีมาก งานก็เยอะ ดังนั้นถ้าจะก็จะเลือกไปงานที่เธอสนใจและจะเป็นประโยชน์กับสังคมเท่านั้น
สำหรับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้รูปแบบงานสังคมเปลี่ยนไป ยาจิตรบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนก็เราก็ต้องปรับตัว เพียงแต่การปรับตัวต้องให้มีรูปแบบที่ชัดเจน จะเห็นได้ว่าสาวสังคมหรือเซเลบริตียุคนี้ จะเหนื่อยมากกว่ายุคก่อน เพราะมีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง สังเกตได้จากการเปิดตัวสินค้า หรืองานแฟชั่นโชว์ของเสื้อผ้าแบรนด์ดัง “พี่เห็นสาวสังคมยุคนี้ พี่ยอมรับว่าเก่ง เพราะบางวันมี 3-4 งานติดกัน ถ้าเป็นพี่ทำไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถ กระเป๋าถือเสื้อผ้าต้องเข้าชุด ทุกอย่างต้องลงทุน และเราไม่ได้มีเวลามากมายแบบนั้น”
เพราะทุกลมหายใจคือการทำงาน แม้จะเกษียณตัวเอง หยุดงานสังคม อยู่กับครอบครัว แต่ยาจิตรก็ไม่หยุดนิ่ง หลังศึกษาศาสตร์แห่งการพยากรณ์อย่างจริงจัง ทุกวันนี้เธอยังคงทำงานเป็นนักพยากร “ศึกษามานานมากแล้ว ใครมาให้พี่ดูพี่ก็จะดูให้ แต่ดูเพื่อแก้ไข เป็นที่ปรึกษาให้คนที่กำลังมีความทุกข์ ได้ช่วยคน จุดนี้ถือเป็นงานสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับพี่ ที่จะทำตลอดไปจนกว่าจะไม่มีแรง” ยาจิตรกล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้มสดใส