“ยะใส” หวั่นหน้ากากขาวขัดแย้งกันเอง หลังเห็นต่างกรณียุติชุมนุมใน กทม. แนะทางที่ดีร่วมกันหาข้อสรุปให้ได้ก่อนวันอาทิตย์นี้ พร้อมเสนอกำหนดหลักปฏิบัติให้ชัดเจนเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันพวกฉวยโอกาสเข้าแทรกแซง ด้าน “พิภพ” ชี้เฟซบุ๊ก “วี ฟอร์ ไทยแลนด์” ควรเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิด-ปรึกษาหารือกัน ไม่ควรออกเป็นแถลงการณ์
วันที่ 3 มิ.ย. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
โดยนายสุริยะใสกล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของหน้ากากขาวอยู่ที่แนวทางไม่ใช่แค่วิธีการ คือหน้ากากขาวจะวางตำแหน่งตัวเองเป็นขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อต่อกรกับรัฐบาลในอนาคตด้วยหรือเปล่า หรือจะเป็นแค่เวทีให้แสดงออกว่าอึดอัดต่อรัฐบาล และจะไม่เผชิญหน้ากับใคร ถ้าจะเป็นแค่นี้ไม่ต้องมีแกนนำ
ปัญหาใหญ่ที่ฝากให้หน้ากากขาวคิดกัน คือ ตำแหน่งหน้ากากขาวสูงสุดจะอยู่ตรงไหน ต้องมีการออกแบบ วันนี้มีบางคนไม่เห็นด้วยที่หยุดกิจกรรมในกรุงเทพฯ ทำให้มีโอกาสขัดแย้งกันเอง ฉะนั้นหากคุยกันได้ก่อนวันอาทิตย์ควรคุยกัน นั่นเป็นภาพที่ตนอยากเห็น
ตนไม่เห็นด้วยที่บางคนยังจะไปชุมนุมทั้งที่ขอยุติเพื่อทบทวนก่อน แต่ก็ห้ามเขาไม่ได้เพราะบอกเองว่าหน้ากากขาวไม่มีแกนนำ แล้วสถานการณ์แหลมคมจะถูกยกระดับขึ้นเรื่อยๆ หน้ากากขาวจะถูกคาดหวังท้าทายกว่าในปัจจุบัน การเจอปัญหาเร็วถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ถ้าก้าวผ่านไปได้จะเข้มแข็ง เพื่อพร้อมเผชิญปัญหาที่จะเจอในอนาคต
นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า คนที่ไปร่วมชุมนุมหลายคนก็ยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหน้ากากขาวเป็นอย่างไร ฉะนั้นต้องทำความเข้าใจกันใหม่ อาจจะมีคู่มือแจกจ่ายกันว่าหลักปฏิบัติ ปฏิญญา มีอะไรบ้าง เพื่อพอตกผลึก มีวินัยร่วมกัน ก็จะเป็นภูมิคุ้มกันบล็อกพวกที่แทรกซึมเข้ามา เพราะพอพวกนี้มาจับไมค์มวลชนก็จะดูออกว่านี่ไม่ใช่หน้ากากขาวแล้ว ต้องสร้างสิ่งที่ทุกคนพร้อมเห็น พร้อมเดิน พร้อมหยุด
ด้านนายพิภพกล่าวว่า ทางเพจเฟซบุ๊ก “วี ฟอร์ ไทยแลนด์” ไม่น่าใช้คำว่าแถลงการณ์ แต่ควรใช้คำว่าปรึกษาหารือ ให้เฟซบุ๊กเป็นคล้ายเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะพอตั้งเป็นแถลงการณ์ก็จะเกิดการตั้งคำถามว่าแล้วข้างหลังเฟซบุ๊กคือใคร ใครที่เป็นคนกำหนดยุทธศาสตร์
วิธีแก้คือ อย่าออกแถลงการณ์ แต่ให้ปรึกษาหาหรือ ให้เฟซบุ๊กเป็นฟอรั่มทางปัญญาแลกเปลี่ยนกัน และการแสดงตัวในท้องถนนในสัญลักษณ์หน้ากากขาวให้เป็นเรื่องของปัจเจก ไม่เช่นนั้นความเป็นธรรมชาติของหน้ากากขาวจะหมดไป คนที่สวมหน้ากากขาวมีความรู้สึกต่างกัน หลายคนเคยเคลื่อนไหวกับกลุ่มต่างๆ เมื่อตัดสินใจใช้หน้ากากขาวแล้วต้องเข้าใจว่าหน้ากากขาวต้องการสื่ออะไร เช่นมากับพันธมิตรฯ ก็ต้องรู้ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร พอมากับหน้ากากขาวก็ต้องรักษาเอกลักษณ์ของหน้ากากขาวไว้ ถ้าอยากมีแกนนำก็ไปร่วมกับกลุ่มอื่น
แล้วอย่าเพิ่งตั้งคำถามว่าแล้วอย่างไรต่อ แค่แสดงออกให้คนมาร่วมมากขึ้นๆ ถึงตอนนั้นรัฐบาลอยู่นิ่งไม่ได้ แล้วมันจะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ หน้ากากขาวไม่ต้องทำอะไรเลย ความนิ่งเป็นสำคัญ
ส่วนการช่วงชิงการนำ อันนี้ต้องมาแลกเปลี่ยนกัน มาถามกันก่อนว่าการแสดงสัญลักษณ์หน้ากากขาวมีอะไรบ้าง เช่นหากจะไม่ให้มีเครื่องขยายเสียง แล้วจะจัดการอย่างไร เพราะถ้าไม่มีเครื่องขยายเสียงก็จะมีคนอื่นมากุมไมค์แทน ฉะนั้นต้องแลกเปลี่ยนกันอย่าใช้เป็นแถลงการณ์