หน.ปชป.ตอก “นิวัฒน์ธำรง” แถ เค วอเตอร์ เข้าเงื่อนไขทีโออาร์ ทั้งที่ขาดทุนกว่า 700% เตรียมยื่นถอด ครม.ทั้งคณะ หลัง ป.ป.ช.เคยเตือนกำหนดคุณสมบัติเสี่ยงโครงการไม่สำเร็จ ไล่ดูคำวินิจฉัยศาล ปค.เชื่อมีฮั้วหลังนายใหญ่โผล่แจม ชี้ เตือนแล้วคนไทยเหมาะกว่า แนะถูกระงับอย่าฝืนอุทธรณ์ ดักไร้ความพร้อมดันกู้ 3.5 แสนล.ไม่ได้ ดักอย่าอ้างด่วนเหตุปีครึ่งยังไม่เรียบร้อย บี้ช่อง 5 เคลียร์ตัดรายการกระทบรัฐ ชี้ กระทบความเชื่อถือสื่อ
วันนี้ (27 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการของบริษัท เค วอเตอร์ ว่าขาดทุนกว่า 700% แต่ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมารับประกันว่า บริษัทดังกล่าวตรงตามเงื่อนไขในทีโออาร์ ว่า เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่กำหนดกติกา กำหนดคุณสมบัติ เป็นผู้คัดเลือก ซึ่งกระบวนการทั้งหมดพรรคประชาธิปัตย์กำลังจะยื่นถอดถอน ครม.ทั้งคณะ เนื่องจากเห็นว่า ครม.ไม่ทำตามกฎหมาย และเคยมีการเตือนจากคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ไปแล้ว ซึ่งจะครอบคลุมประเด็นของเค วอเตอร์ ด้วยว่ารูปแบบที่มีการรวมกลุ่มโครงการและเป็นโครงการที่มูลค่าสูงๆ กำหนดคุณสมบัติที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทิ้งงาน สร้างความเสียหายแก่ราชการ เป็นสิ่งที่ ป.ป.ช.เตือนแล้วทั้งหมด ดังนั้นหากรัฐบาลยืนยันก็จะยิ่งเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล ขณะเดียวกันหลังจากมีคำวินิจฉัยของศาลปกครอง รัฐบาลก็ต้องไปดูข้อกฎหมายให้ครบถ้วนด้วย เพราะรูปแบบทั้งหมดถูกทักท้วงมาตั้งแต่ต้น กระทั่งมีปัญหาที่ปรากฏออกมาชัดเจนมากขึ้น แม้แต่ขั้นตอนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ บริษัทเองก็ยังอยากทราบว่าต้องทำอะไร
“ผมเชื่อว่า เค วอเตอร์ ถูกเลือกมาแต่แรกว่าจะได้โครงการจากรัฐบาล เพราะมีคนกระซิบมาตั้งนานแล้ว โดยบอกว่าเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร) ได้ไปพูดคุยกับบริษัทดังกล่าวไว้แล้ว ส่วนจะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องระหว่าง เค วอเตอร์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ควรมาเกี่ยวข้องและหากการคัดเลือกไม่รัดกุม สุดท้ายก็มีช่องว่างให้เกิดการทุจริตรั่วไหลได้ง่าย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ บริษัท เค วอเตอร์ ยอมรับในคำชี้แจงว่าจะต้องไปจ้างเหมาช่วงเพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการว่า เป็นข้อสังเกตที่ทางพรรคได้ท้วงติงมาตั้งแต่ต้น ว่าในที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นการอ้างความเชี่ยวชาญ หรือการทำงาน สุดท้ายก็ต้องวกกลับมาจ้างบริษัทไทยมากกว่า โดยตนได้เตือนมาตั้งแต่แรกว่า ไม่เชื่อว่าจะมีใครเชี่ยวชาญพื้นที่ในประเทศไทยเท่ากับคนไทย ยิ่งมีการรวมโครงการมากๆ สุดท้ายก็ต้องจ้างคนอื่นทำ ทั้งนี้หากรัฐบาลต้องการดำเนินโครงการให้โปร่งใสสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนนั้น ก็ควรจะดูข้อกฎหมายที่ศาลปกครองจะวินิจฉัยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งทางพรรคก็ยังยืนยันว่าการอนุมัติโครงการนี้ทำผิดรัฐธรรมนูญ กฎหมายสิ่งแวดล้อม และกฎหมายฮั้ว รัฐบาลจึงควรทบทวน ทั้งนี้แม้ว่ารัฐบาลจะมีสิทธิ์อุทธรณ์คดีได้หากศาลปกครองมีคำสั่งให้ระงับการทำสัญญา แต่ก็เห็นว่าถ้ารัฐบาลผลีผลามเซ็นสัญญาแล้วมีปัญหาในข้อกฎหมายก็ต้องไปชดเชยความเสียหายในภายหลัง ซึ่งจะเป็นการเสียเงินประชาชนโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นหากศาลปกครองกลางมีคำสั่งเหมือนตุลาการผู้แถลงคดีคือให้ระงับการทำสัญญาไว้ก่อนจนกว่าจะมีการรับฟังความเห็นจากประชาชน รัฐบาลก็ต้องปฏิบัติตามนั้น คือยังลงนามในสัญญาไม่ได้ จนกว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ไม่ควรจะยื่นอุทธรณ์ไปพร้อมๆ กับลงนามในสัญญากับบริษัทเอกชน เพราะจะเกิดความเสี่ยงตามมา
สำหรับการบริหารเงินกู้ที่ตามเงื่อนไขของ พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้าน ระบุให้กู้ภายในวันที่ 30 มิ.ย.56 นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หลักของกฎหมายที่กำหนดเวลา เนื่องจากเป็นการกู้เงินโดยขออำนาจพิเศษและเป็นการตรากฎหมายโดยอ้างความฉุกเฉิน ถ้าไม่มีความพร้อมเนื่องจากเวลาล่วงเลยเกินกว่ากฎหมายกำหนด ก็ถือว่ารัฐบาลไม่มีอำนาจในการกู้เงิน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ทำโครงการยังทำได้โดยกลับเข้าสู่งบประมาณปกติ หรือออกกฎหมายใหม่ ไม่จำเป็นต้องรีบทำสัญญากับเอกชนเพื่อกู้เงินมากองไว้ เพราะยังไม่มีความพร้อมที่จะทำ รัฐบาลคงอ้างเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนอีกไม่ได้ เพราะผ่านมาปีครึ่งพิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลยังไม่พร้อม เนื่องจากยังไม่ผ่านขั้นตอนการศึกษาที่จะกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก จะบอกว่าต้องรีบภายในวันสองวันนี้ไม่ได้ เพราะมีเวลามาปีครึ่งที่จะทำ แต่ก็ไม่ทำให้เรียบร้อย
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ตัดรายงานพิเศษเกี่ยวกับปัญหาบริษัท เค วอเตอร์ กลางอากาศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยตั้งข้อสังสัยว่าถูกตัดกลางอากาศได้อย่างไร ซึ่งช่อง 5 จะต้องชี้แจงว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นจะกระทบความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชน
“ผมเป็นห่วงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เพราะเห็นชัดว่ามีความพยายามรุกคืบที่จะยึดสื่อในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น สุดท้ายจะเพิ่มความอึดอัดในสังคม การเมืองก็มีแนวโน้มกลับสู่ท้องถนนอีก เพราะเมื่อแรงกดมากขึ้น ก็จะไปอยู่ที่ท้องถนนจนเกิดความวุ่นวายตามมา จึงไม่อยากให้รัฐบาลทำแบบนี้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว