ผ่าประเด็นร้อน
ปรากฏการณ์ในเวลานี้ก็ต้องบอกว่าเป็นกระแสรวมศูนย์มุ่งโจมตีเข้ามาหา “ระบอบทักษิณ” อันมีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นเป้าหมายหลักอยู่ในเวลานี้ และที่สำคัญคนที่เคยชูเอาไว้เป็น “จุดแข็ง” อย่างตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แต่สถานการณ์ในเวลานี้กลับตาลปัตรกลายเป็น “จุดอ่อน” แต่ขณะเดียวกันกลับเป็นจุดอ่อนที่โละทิ้งไปไม่ได้เสียด้วย เพราะเอาออกไปนั่นก็หมายความว่าเป็นความหายนะของครอบครัวทักษิณทันที
แน่นอนว่าการปรับคณะรัฐมนตรีกำลังจะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จากเดิมที่คาดว่าเกิดขึ้นหลังร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 และร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทผ่านไปก่อน หรืออาจเป็นช่วงเดือนสิงหาคมในสมัยประชุมสภาสมัยหน้า แต่เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนจากกรณีจำนำข้าว ที่มีตัวเร่งจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง “มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส” ส่งสัญญาณเตือนว่าอาจจะลดเครดิตประเทศไทยในปลายปีนี้หากยังปกปิดตัวเลขการขาดทุนโครงการจำนำข้าว นั่นแหละจงนำไปสู่การแถลงชี้แจง แต่ยิ่งชี้แจงก็ยิ่งเผยพิรุธออกมามากขึ้นกว่าเดิม เกิดความสงสัย และที่สำคัญกลายเป็นว่ายิ่งทำให้เห็นตัวเลขการขาดทุนเป็นเงินมหาศาล ลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลงอย่างฮวบฮาบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในที่สุดเมื่อดันทุรังเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เมื่อตัวเลขการขาดทุนด้านงบประมาณมหาศาลจนต้องบังคับให้รัฐบาลปรับลดราคาจำนำข้าวลงมาเหลือแค่ตันละ 12,000 บาท สร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งชาวนา รัฐบาล และพรรคเพื่อไทย เพราะรู้กันอยู่ว่าชาวนาเป็นฐานเสียงสำคัญ เมื่อไปลดรายได้ลงอย่างฉับพลันไม่ต่ำกว่าตันละ 3-4 พันบาท แทนที่จะไปอุดรอยรั่วตัดวงจรด้านทุจริตกลับไม่ทำ จนเกิดการประท้วงโวยวายไปทั่ว และแม้ว่าในที่สุดแล้วเป็นไปได้เหมือนกันว่ารัฐบาลทนแรงบีบคั้นไม่ไหวอาจยอมยืดเวลารับจำนำข้าวในราคาตันละ 15,000 บาทออกไปจนสิ้นฤดูทำนาปรังปีนี้ ฤดูกาลหน้าค่อยมาว่ากันใหม่ก็ได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นมันก็ยิ่งก่อให้เกิดหายนะด้านการคลังตามมาอีก เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าสาเหตุที่ต้องปรับลดราคาลงมาก็เป็นเพราะ “ถังแตก” และกลัว “มูดี้ส์” ปรับลดเครดิต ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องรักษาวินัยการคลังอะไรหรอก เพราะถ้าจะรักษาวินัยจริงก็คงไม่ดันทุรังมาตั้งสองสามฤดูกาลหรอก
แต่ไม่ว่าผลสรุปรวบยอดจะออกมาอย่างไร เพราะคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีคนชื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานจะสรุปตัวเลขออกมาอย่างไร หลังจากชาวนาขีดเส้นให้เวลาทบทวน 7 วัน นาทีนี้ก็ทำให้ชาวนาส่วนใหญ่เสียความรู้สึก ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ซึ่งต้องเน้นย้ำกันว่า “เรื่องเงิน” นี่แหละเรื่องใหญ่ แม้กระทั่งพี่น้องยังฆ่ากันมานักต่อนักแล้ว
ขณะเดียวกัน กระแสจำนำข้าวได่้ก่อเรื่องอื้อฉาวมานานนับสัปดาห์ เป็นครั้งแรกที่เกิดเสียงวิจารณ์รัฐบาลในทางลบได้อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง พร้อมๆ กับผลสำรวจที่ออกมาสารรพัดโพลล์ล้วนออกมาในทำนองเดียวกันว่ามีการทุจริตมโหฬาร ขณะเดียวกันยังมีผลสำรวจในหัวข้อคะแนนนิยมของรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ดิ่งลงมา นั่นคือสอบตก
แม้จะพยายามใช้วิชามารแบบเดิมๆ คือโยนความผิดไปให้ฝ่ายค้านคือประชาธิปัตย์ว่าเป็นตัวการทำให้รัฐบาลต้องลดราคาจำนำข้าวลงมา ก็ไม่ได้ผล เพราะทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับรัฐบาล ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น
อย่างไรก็ดี หากจะว่าไปแล้วปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลในช่วงนี้ถือว่าเป็น “ขาลง” อย่างแท้จริง เพราะมีหลายเรื่องประดังกันเข้ามา ไม่ว่าเสียงวิจารณ์ในเรื่อง “ของแพง” และผลจากนโยบายประชานิยมอื่นๆ ที่เริ่มส่งผลในทางลบไม่ว่าเป็นเรื่อง ค่าแรงวันละ 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี หรือรถคันแรกเป็นต้น กลับกลายเป็นว่าเกิดผลในทางตรงกันข้าม ทำให้เกิดหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ชาวบ่านไม่มีเงินจับจ่าย ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว จนต้องมีการปรับลดประมาณการขยายตัวกันใหม่ที่นักเศรษฐศาสตร์คาดหมายว่าการขยายทสงเศรษฐกิจของไทยในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 2-4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จากเดิมที่คาดว่าจะเกิน 5 เปอร์เซ็นต์
เมื่อมาเจอกับมรสุมลูกใหญ่เรื่องจำนำข้าว และมูดี้ส์ขู่จะลดเครดิตอีกทำให้รัฐบาลระส่ำระสายทันที ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีจะพบว่าทุกสายตาจะจับจองไปที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เป็นจุดเดียว ลักษณะเหมือนกับการบีบคนให้ต้องลงมาแก้ปัญหามากขึ้น จากเดิมที่อยู่ในสภาพ “ลอยตัว” ถูกออกแบบให้ “ลิ่วล้อ” คนรอบข้างเผชิญหน้าไปทุกเรื่อง แต่คราวนี้ทุกเรื่องพุ่งเข้ามาหายิ่งลักษณ์ทั้งสิ้น จนถึงขนาดตองบ่นเสียงดังว่า “โดนอยู่คนเดียว” จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เมื่อจุดโฟกัสเปลี่ยนไปหันกลับมาเพ่งมองที่ตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์เป็นหลัก มันก็ทำให้ “ความจริงปรากฏ” ออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอไม่ได้มีความพร้อมสำหรับการรับมือกับปัญหายากๆ ถูกจับได้และตั้งข้อสงสัยในเรื่องสติปัญญา ซึ่งหากสังเกตจากคำพูด การตอบคำถามนักข่าวย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่า “ไม่มีความฉลาด” ไม่มีความรู้รอบตัว แต่ที่ผ่านมา “ถูกอำพราง” ด้วยกระแส “ขาขึ้น” ทักษิณ ยังเป็นเทวดา ยังหากินหลอกต้มอยู่กับเรื่องวีรบุรุษประชาธิปไตย ถูกอำมาตย์รังแก แต่เรื่องราวนิยายดังกล่าวจะได้ผลเต็มร้อยมันต้องอิงอยู่กับผลสำเร็จทางด้านนโยบายสามารถบริหารให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดีได้ แม้จะมีหนี้สินแต่ก็ต้องจับจ่ายใช้สอยได้คล่อง ที่ผ่านมาในยุครัฐบาลทักษิณ อาจโชคดีที่เศรษฐกิจโลกเป็นช่วงขาขึ้น และใช้นโยบายประชานิยมไปกระตุ้นมันก็ยิ่งสะพัด แต่ในปัจจุบันทุกอย่างตรงกันข้ามมันก็จึงเละอย่างที่เห็น
ยิ่งลักษณ์ ที่เคยอำพรางไว้เป็นจุดแข็งมาวันนี้กลับกลายเป็น “จุดอ่อน” จะปรับออกโละทิ้งก็ไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงหายนะทันที ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือต้องปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อซื้อเวลาขาลงออกไปอีกระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ง่ายในเมื่อทุกสายจับจ้องไปที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ถูกจับตาในเรื่องการบริหารในฐานะผู้นำต้องแสดงออกมากกว่าเดิม แต่ปัญหาก็คือยิ่งพูดยิ่งแสดงออกมันก็ยิ่งเละ ดังนั้นถึงดไเบอกว่าด้วยปัจจัยและองค์ประกอบรอบตัวในเวลานี้สำหรับรัฐบาลแล้วไม่สดใสเอาเสียเลย
และที่สำคัญกระแส ยิ่งลักษณ์ดันไปผูกติดกับทักษิณ มันก็ยิ่งกลายเป็นสองแรงบวกคาถาไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเก่า ซึ่งจุดตายก็มาจากเรื่องค่าครองชีพ ปากท้อง การทุจริตอันเกิดจากความล้มเหลวสารพัดโครงการประชานิยม กำลังส่งผลลบทุกโครงการ และเมื่อขาลงแล้ว มันก็จะลงเร็ว หากให้ประเมินแบบยืดหยุ่นเชื่อว่าไม่น่าเกินปีหน้า ก็ต้องพัง!!