ผ่าประเด็นร้อน
เมื่อพิจารณาจากอาการของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเวลานี้ สะท้อนผ่านทางม็อบ “หน้ากากขาว” ที่เคลื่อนไหวตื่นตัวขยายวงกว้างออกไปทั่วประเทศ ในลักษณะเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ในลักษณะ “ทนไม่ไหว” มากขึ้นทุกวัน เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วเกินคาด
ใครจะไปนึกว่า พรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาด้วยเสียงข้างมากเด็ดขาด ได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศอย่างมั่นใจ ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีและมีความหวังของชาวบ้านคนยากคนจน ที่ทุ่มเทความไว้วางใจ หรือแม้แต่เอาชีวิต ร่างกายเข้าแลก เพื่อให้คนในครอบครัวชินวัตรของ ทักษิณ ชินวัตร ได้มีอำนาจวาสนา เชื่อว่าด้วย “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ผ่านทาง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกเชิดขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา คนส่วนใหญ่จะต้องลืมตาอ้าปากได้ในไม่ช้า เพราะสารพัดนโยบายประชานิยมที่ประกาศออกมาล้วนแล้วแต่อ้างว่าเป็นการเพิ่มรายได้ลดรายจ่ายทั้งสิ้น แล้วทำทันทีเสียด้วย
ไม่ว่าจะเป็น เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท, ค่าแรงวันละ 300 บาท, รถคันแรก, บ้านหลังแรก, ลดราคาน้ำมันลงทันทีลิตรละ 6-8 บาท และทีเด็ดก็คือ “กระชากค่าครองชีพลงมาคร้าาา...” รวมทั้งรับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ฯลฯ
อย่างไรก็ดี เมื่อให้โอกาสบริหารราชการแผ่นดินมานานเกือบสองปี ทุกอย่างเริ่มกลับตาลปัตร จากความสุขเริ่มกลายเป็นทุกข์ และทุกข์หนักข้อขึ้นทุกวัน ตรงกันข้ามมีแต่ข่าวว่าคนในครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่ร่ำรวยขึ้น จากโครงการนั้นโครงการนี้ในลักษณะ “ร้อยชัก 30”กลายเป็นว่าสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ทุ่มเทอย่างสุดกำลังนั้นไม่ใช่ทำเพื่อประชาชน แต่เพื่อประโยชน์ของทักษิณ คนเดียว แรกๆอาจยังไม่ค่อยมีความรู้สึกหงุดหงิดมากนัก แต่เมื่อนานไปชาวบ้านเริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังเดือดร้อนจากปัญหา “ข้าวของแพง” รายจ่ายเพิ่มไม่พอรายจ่าย ทำให้หนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งที่จะว่าไปแล้ว"รัฐบาลของระบอบทักษิณ"ถือว่ามีความพร้อมที่สุด มีทั้งเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา มีกลไกข้าราชการที่พร้อมเป็น “ขี้ข้า” มากมาย มีข้าราชการที่สนิทชิดเชื้อไว้ใจได้ เข้ามาทำหน้าที่อย่างถวายหัว มิหนำซ้ำยังมีมวลชนคนเสื้อแดงไว้คอยข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดเวลา แต่ก็นั่นแหละผลงานที่ออกมาไม่น่าประทับใจสักเรื่องเดียว โดยเฉพาะเรื่องใกล้ตัวอย่าง ค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงลิ่วอันเนื่องมาจากข้าวของแพงเดือดร้อนกันทั่วหน้า พร้อมๆมากับข่าวเรื่องทุจริตคอร์รัปชันที่ลุกลามไปทุกหย่อมหญ้า
ความล้มเหลวดังกล่าวมาทั้งหมดของรัฐบาลทำให้เกิดปรากฏการณ์หน้ากากขาวขึ้นมา โดยเริ่มต้นก่อตัวในโลกไซเบอร์แล้วชักชวนกันออกมาเดินบนท้องถนนเพื่อต่อต้านและขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไป แรกๆ ก็ได้รับการปรามาสจากคนในรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทย แต่นานวันเข้ากลับยิ่งแรงปริมาณคนเข้าร่วมเพิ่มขึ้นในทุกสัปดาห์จากสัปดาห์ที่เริ่มรวมตัวกันแค่หลักร้อย จนมาถึงหลักหมื่นและกระจายออกไปทั่วประเทศแบบไฟลามทุ่ง ทำให้เกิดการตื่นตัวของฝ่ายรัฐบาลในการขัดขวางและข่มขู่ทุกรูปแบบ แต่ก็ไม่เป็นผลไม่อาจหยุดยั้งได้
ประกอบกับความล้มเหลวของโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้รัฐบาลต้องลดราคาจำนำลงมาเหลือตันละ 12,000 บาท จนสร้างความไม่พอใจกับชาวนาทั่วประเทศ เพราะต้องขาดทุนเป็นหนี้เพิ่มอันเนื่องมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลนั่นเอง ที่สำคัญการลดราคาจำนำดังกล่าวกลับกลายเป็นว่าไปผลประโยชน์ลดรายได้ของชาวนา แต่กลับไม่ยอมไปลดเรื่องการทุจริตที่เกิดขึ้นจากฝ่ายการเมืองที่สมคบกับพ่อค้า
แน่นอนว่าผลจากความอับจนจากนโยบายจำนำข้าวจนรัฐบาลไม่อาจเดินหน้าโครงการแบบเดิมต่อไปได้ เพราะขาดทุนมหาศาล หากยังดันทุรังลุยต่อแบบเดิมก็จะมีผลฐานะการคลัง มีผลกระทบต่อสภาพคล่องของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งจะมีผลตามมาเป็นลูกโซ่ แต่ก็นั่นแหละหากมองในภาพรวมมันก็ย่อมมองเห็นได้ทันทีว่าจากกรณีความล้มเหลวของนโยบายจำนำข้าวได้เกิดผลกระทบเกิดแรงกระเพื่อมกับรัฐบาลได้รุนแรงที่สุด พิสูจน์ได้จากผลสำรวจที่ออกมาหลายสำนักในช่วงที่่ผ่านมาออกมาตรงกันคือ ทั้งความนิยมของรัฐบาล และตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ สอบตกลดลงฮวบฮาบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อปฏิกิริยาแรงต่อต้านหนักแน่นและลุกลามมากขึ้น ดังกล่าวย่อมไม่ใช่มีผลกระทบต่อรัฐบาลและยิ่งลักษณ์ เพียงอย่างเดียว เพราะหากมองข้ามช็อตแล้วเมื่อรัฐบาลทรุดก็ย่อมทำให้ส่งผลกระทบไปถึงอนาคตของทักษิณ ชินวัตร เข้าไปเต็มๆ จากเดิมที่กำหนดดีเดย์เดินเครื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายลบล้างความผิด เพื่อกลับบ้านอย่างเท่ก่อนสิ้นปีนี้ตามที่เคยคุยโม้เอาไว้ก่อนหน้านี้ มันก็ทำท่าเป็นได้แค่ฝันเท่านั้น เพราะหากบรรยากาศเกิดกระแสต่อต้านลุกลามอยู่แบบนี้ อย่าว่าแต่จะได้กลับมาเลย ตรงกันข้ามอาจมีคนในครอบครัวต้องเผ่นไปสมทบที่แดนไกลเพิ่มเติมก็เป็นได้
เพราะเมื่อพิจารณาตามสภาพที่เป็นจริงก็ต้องย้ำว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังอยู่ในช่วงขาลงอย่างรวดเร็ว ความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีลดลงเรื่อยๆ ประกอบกับในปัจจุบันเป็นยุคของการสื่อสารยุคใหม่ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสื่อหลักเต็มร้อยเหมือนในอดีต ชาวบ้านสามารถกำหนดการเคลื่นไหวนัดหมายหรือแชร์ข้อมูล หลักฐานออกมาให้เห็นดังที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ของหน้ากากขาวที่สอดรับกับกระแสโลกในเวลานี้
ดังนั้นกระแสขาลงของรัฐบาลมันก็ย่อมผูกพันกับอนาคตของทักษิณ อย่างช่วยไม่ได้ และที่คาดไม่ถึงก็คือทุกอย่างมาประดังเข้ามาแบบตั้งรับไม่ทันเสียด้วย เพราะเชื่อว่าไม่ใช่มีแต่เรื่องจำนำข้าวเท่านั้น จะมีม็อบยางพารา รวมทั้งเรื่องราคาสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่ตกต่ำไม่แพ้กันจะทยอยออกมาเรื่อยๆ จนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่บอกว่า “กินไม่ได้นอนไม่หลับ” นั้นที่ผ่านมาเป็นแค่เริ่มต้น ของจริงยังมีมาเรื่อยๆ อย่าด่วนไปไหนเสียก่อนก็แล้วกัน!!